การยกตัวอย่างคดีใน โซเชียลสาธารณะ ประกอบการอบรมนักศึกษาวิชากฎหมาย ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
…………………\\\\\\\\\…………………
โดย ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม นักวิชาการด้านกฎหมาย ศึกษากรณีพนักงานอัยการใช้ดุลยพินิจสั่งคดีโดยไม่ชอบ
คดีตัวอย่าง เมื่อปี 2555 มี “กรรมกร” คนหนึ่ง จบการศึกษาวิทยาลัยเอกชนย่านบางแค แผนก”กรรมกร “รับเหมาก่อสร้าง (จับกัง)เป็นชายหัวล้าน อุ้มเด็กทวงคืนความยุติธรรม ประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือจากตำรวจ หลังชนะคดีที่ศาล
ต่อมาในปี 2561 มีครูในโรงเรียนกฎหมายแห่งหนึ่ง นำเอาภาพชายหัวล้านที่นั่งกับเด็กริมถนนมาโพสต์ และระบุข้อความว่า #เน่าเหมือนสุนัขข้างถนนจริงๆ ชมรมต้มเหยื่ออาชญากรรม#
เพื่อตั้งข้อสังเกตุในการอบรมให้ความรู้แก่นักกฎหมาย เป็นภาพเก่าเมื่อปี 2555 ที่มีการลงข้อความในเฟสบุ๊คสาธารณะเพื่อเป็นการสะท้อนให้ผู้เข้าอบรมเห็นว่า “ตำรวจได้กระทำกับภาพชายชราและเด็กนั้น “ไม่ชอบด้วยกฏหมาย” นะครับ นะครับ
จึงยกตัวอย่างดังกล่าวเพื่อประกอบการอบรมและสอนวิชากฎหมาย ด้วยการสื่อให้ผู้รับการอบรมได้เห็นว่า ตามภาพมันฟ้องอยู่ในตัวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีพฤติการณ์กระทำต่อชายชราและเด็กที่มาทวงคืนความยุติธรรม เกินกว่าเหตุ นะครับ
การที่ ชมรมผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ข่าวอาชญากรรม ที่มุ่งแต่นำเสนอข่าวในภาพลักษณะนี้ไม่สมควรนั้น ไม่ถูกต้องไม่มีมูลเหตุจูงใจหรือมีเจตนาพิเศษที่จะให้ร้าย หรือจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลในภาพ นั้นๆ เป็นกรณีศึกษา
แต่ต้องถูกชายหัวล้านตามภาพนั้น แจ้งต่อพนักงานสอบ”ว่า กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ภาพถ่ายดังกล่าวนั้น มีถึง 10 คนด้วยกัน โดยมีนักข่าว”หญิง ร่วมอยู่ในภาพด้วยคดีนี้ผู้กูกกล่าวหาเพิ่งทราบว่า ถูกแจ้งความดำเนินคดี เวลาผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี
เศษแล้ว
ท่าน”กรรมกร”ไล้นสด บอกว่าอัยการแจ้งว่า ยังไงก็ต้อง “ฟ้อง” ผู้ถูกกล่าวหา จึง ได้ตรวจสอบ จึง”ต้องขอให้อัยการ”ระดับสูงพิจารณาถึงถ้อยคำดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นกรณี ที่”กรรมกรไลน้สด และให้พิจารณาถึง พฤติการณ์ต่างๆของ “กรรมกร” ที่กระทำกับบุคคลอื่นในลักษณะนี้ ประกอบด้วย
การสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องนั้นไม่ใช้ปัญหา แต่ “ต้องใช้ดุลยพินิจสั่งคดีโดยชอบ”ต้องมีเหตุผลประกอบการสั่งฟ้องด้วย
อัยการจะใช้ความรู้สึก”กลัวว่า ” กรรมกร “นักแฉ” ว่ายังไงก็ต้องฟ้องไปก่อน โยนเผือกร้อนให้ศาลเป็นผู้พิจารณานั้น “มันน่าหมดสมัย”แล้ว
“ความจริงก็คือความจริง” ถ้า”กรรมกร”แน่จริง ทำไมไม่ฟ้องเองล่ะครับเพราะรู้อยู่แก่ใจว่า โดนแน่ฟ้องเท็จ เบิกความเท็จ แน่นอน คดีนี้
เมื่อ “กรรมกร” จนตรอก ก็จะโยนว่า การแจ้งข้อหาหรือสั่งฟ้องเป็นเรื่องของตำรวจและอัยการ ไม่เกี่ยวกับตน เพื่อปฎิเสธความรับผิด
“ตำรวจ”และอัยการต้องถูกฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาทุจริต เพราะความกลัว ตาแป๊ะแก่ๆๆ นั้น เลิกเถอะครับ มันไม่คุ้มกันเลย มันไม่มีใครอยู่เหนือกฏหมายหรอกครับ
ทั้งนี้ # ข้อความใดที่หมิ่นประมาทด้วยเอกสาร #ต้องพิจารณาข้อความดังกล่าว ว่า วิญญูชนโดยทั่วไปพบเห็นข้อความ# ว่านั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ ข้อความในเอกสารนั้น มีใครยืนยันข้อเท็จจริงตามตัวอักษรหรือไม่ ว่าไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของนักศึกษาที่จะออกไปเป็นนักกฎหมาย
“ทนาย ตุ้…………เป็นทนายความยังไม่อดนม ผมฝึกมากับมือ “
แม่งอวดดี” ไปอยู่กับ”ทะแนะ”แพ้ทุกคดี เมียทำงานเป็นลูกจ้าง ปปช.
อาศัยหากินกับวัด ไม่มีงานทำเกาะกระแส “กรรมกร” หาคดีให้ทำคดีละ 2,000 บาท ต้องถูก”กรรมกร”ด่าเหมือนหมาเมื่อไม่ทำตาม ศักดิ์ศรีความเป็นทนายไม่มีเลยเหรอครับ
จึงเป็นกรณีศึกษา