เรื่องฮอต ประเด็นฮิต » #กระจายอำนาจท้องถิ่น ! ทนายนกเขาจับมือเสื้อแดง สร้างความเท่าเทียม

#กระจายอำนาจท้องถิ่น ! ทนายนกเขาจับมือเสื้อแดง สร้างความเท่าเทียม

24 April 2022
311   0

24 เม.ย. 2565 – นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) หรือทนายนกเขา กล่าวผ่าน Facebook Live “ประชาชนคนไทย ปท.” ระหว่างสัญจรไปที่ จ.เชียงใหม่ ร่วมกับ นายวิชิต ตามูล ( ดาบชิต กลุ่มแดงเชียงใหม่ ) และ นายบัณรส บัวคลี่ สภาลมหายใจเชียงใหม่ ประเด็น “ต่างกลุ่ม ต่างแนวคิด ต่างความเชื่อ อุดมการณ์เดียวกัน สามัคคีเป็นพลัง ค้ำจุนแผ่นดินไทย”

แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย กล่าวว่า ตนมาสัญจร ตามที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้ปัญหาความไม่สามัคคี ได้นำปัญหาต่างๆมาสู่ประเทศชาติ ประชาชน หลากหลายปัญหาที่ประชาชนพบเจออยู่นั้น ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่สำคัญนั้นมาจากความแตกแยก ไม่สามัคคี และไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เกิดมาจากอะไร เพราะมัวแต่ยุ่งกับการแก้ไขปัญหาต่างๆที่ถาโถม

นายนิติธร กล่าวถึงการกระจายอำนาจว่า คำเดียวนี้มีความหมายนัยยะที่สำคัญ ไปถึงปากท้องประชาชน สำคัญไปถึงความเท่าเทียม สำคัญไปถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่น คำว่าคนเชียงใหม่ปกครองตนเองไม่ได้หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากไหนก็ไม่รู้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความซ้ำซ้อน ทั้งเชิงอำนาจและงบประมาณ ใน

ขณะเดียวกันความต่อเนื่อง และความเข้าใจในปัญหา ที่สำคัญก็คืออำนาจและความต้องการตรงของประชาชนถ้าไม่มีกระจายอำนาจเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น “คนเรามีความเห็นต่างกันได้ แต่ไม่ควรที่จะเกลียดชังหรือผลักให้พ้นกัน เพราะทุกขั้วมีคนที่สุดโต่งสุดปลายอยู่ทั้ง 2 ฟาก ซึ่งปัญหาที่ผมสังเกต ล้วนมาจากตรงปลายของขั้วที่เห็นต่างกัน ถ้าปลาย 2 ข้างนี้คุยกันก็จะสร้างสังคมสงบให้ลงมาเยอะ” แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย กล่าว

ด้าน นายวิชิต กล่าวว่า ตนขับเคลื่อนมวลชนเสื้อแดง สำหรับตนแล้วคำว่าถนนประชาธิปไตย หรือแล้วถนนเส้นอื่น ไม่ว่าจะเป็นเหลือง ม่วง แดง ต้องเดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกันได้ บนความเป็นคนเท่ากัน ซึ่งวัตถุประสงค์ของคนสีเสื้อต่างๆ ไม่ว่าเหลืองหรือแดง ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมาในอดีต เชื่อว่าทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันในเรื่องของชาติบ้านเมืองและแผ่นดิน เพียงแต่วิธีการในห้วงเวลานั้นอาจจะแตกต่างกันไป

ดาบชิต กลุ่มแดงเชียงใหม่ กล่าวว่า ตนเป็นคนเสื้อแดงใน จ.เชียงใหม่ตั้งแต่ปี 2549 ตอนที่เริ่มเคลื่อนไหวนั้น ซึ่งพล.อ.สนธิ บุญกลิน ยึดอำนาจ นายทักษิณ ชินวัตร ในมุมมองของตนประชาชนตอนนี้ เปรียบเสมือนลูกไก่ในเข่ง จิกกันเองไปมา ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง ของประชาชนในแผ่นดินนี้ คือ คนกลุ่มอำนาจเดิมๆ คือคนที่จะได้รับประโยชน์ จากความขัดแย้งของประชาชน โดยเขานำไก่ในเล้าเดียวกันเรา คือ คนไทยเป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่เราถูกกลุ่มอำนาจ ชนชั้นบนเอาสีมาป้ายหน้า ให้จิกตีกันเอง เสร็จแล้วตัวไหนแพ้ก็จับต้มแกง ในมุมมองของตน

เป็นแบบนี้ “ถ้าถามว่าเราอยู่ในวงจรนี้ การรัฐประหารยึดอำนาจในประเทศไทยเรา 18 ครั้ง ถามว่าคนที่ทำรัฐประหารไม่เคยมีภาคประชาชน 100% เซ็นต์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กลุ่มคนที่ยึดอำนาจได้ คือ กลุ่มคนชุดเดิมๆ กลุ่มคนที่มีอำนาจ ปืน มีอำนาจรถถัง ในการกระทำแม้แต่ล่าสุดที่ผ่านมาคือปี 2557 ที่คณะยึดอำนาจนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านมาแล้ว 8 ปี ถามว่ามีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ความขัดแย้งยังอยู่ ความเห็นต่างทางการเมืองยังอยู่ แต่ผลประโยชน์ทางการเมืองตกอยู่เฉพาะกลุ่ม ไม่ได้แชร์ให้ประชาชนเลย ตอนนี้ก็ฟัดกันเอง เหมือนกับว่าภาคประชาชนที่ถูก เอาสีป้ายหน้าแล้วให้จิกตีกันเอง ทั้งที่เขาเป็นผู้รับผลประโยชน์ตรงนี้” นายวิชิต กล่าว

นายวิชิต กล่าวว่า ในมุมมองตนการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง มีมาตั้งแต่ปี 2475 ผ่านมา 80 ปี ถามว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่ ไม่มีเรายังอยู่ในประชาธิปไตยที่มีแต่เปลือก มีแต่คราบ มันไม่มีอะไรเลย แล้วเราไปประณามหลายคน มองว่าจีนเป็นคอมมิวนิสต์เผด็จการ ตนยังบอกว่าให้ไปดูดีๆประเทศจีนเขากระจายอำนาจ มากกว่าบ้านเราเยอะ ดาบชิต กลุ่มแดงเชียงใหม่ กล่าวว่า สำหรับเรื่องของการกระจายอำนาจ ในสมัยรัฐธรรมนูญปี 2540 เรามีเรื่องการกระจายอำนาจ โดยระบุไว้ว่าต้องมีสูตรท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 37% ถามว่ามาถึงทุกวันนี้ผ่านมา 25 ปีแล้ว ท้องถิ่นจริงๆได้รับการกระจายอำนาจกี่เปอเซนต์ ขอถามว่าประเทศไทย การทำงานในส่วนภูมิภาคนั้น ซ้ำซ้อนกับท้องถิ่นหรือไม่ เช่น มีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทุกจังหวัด

แล้วผู้ว่าราชการจังหวัดเอาไว้ทำไม งานมันซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ในอดีตตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ส่งคนจากส่วนกลาง ไปปกครองคนส่วนภูมิภาค ถามว่าทำไมในส่วนท้องถิ่นเลือกผู้ปกครองตัวเองไม่ได้หรืออย่างไร นายวิชิต กล่าวว่า ในเรื่องของความขัดแย้ง เราสามารถก้าวข้ามได้หรือไม่ ตนคิดว่าทำได้แน่นอน เพราะไม่ได้เกิดจากคน แต่เกิดจากความเห็นต่าง แต่เราต้องไม่ฆ่าฟันกัน ถ้าเรานำปัญหาต่างๆมาพูดคุยกัน ดังนั้นเรื่องประเด็นความขัดแย้ง ถ้าเราจะหลอมรวมกัน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ “กรณีของคุณทักษิณ ผมบอกเลยว่าคนเสื้อแดงอย่างผม ก้าวข้ามคุณทักษิณไม่ได้ แต่ผมไม่ได้สู้เพื่อคุณทักษิณ ที่บอกว่าก้าวข้ามไม่ได้เพราะ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2544 แล้วปี 2545 ผมลาออกจากราชการตำรวจ ที่มีเงินเดือน 8,000 กว่าบาท มาทำอาชีพนักสืบได้อาทิตย์ละ 15,000 บาท ตอนนั้นทุกคนมีตังค์ ในเมื่อทุกคนมีตังค์

แล้วถามว่าเราต่อสู้ดิ้นรนกันทุกวันนี้เพื่ออะไร เพื่อเป็นหนี้หรือเพื่อมีตังค์คนอื่นคิดอย่างไรผมไม่รู้ เพราะผมไม่ได้มีอาชีพแค่ปลูกผักตำลึงกิน ผมไม่ได้มีที่นา ทำสวนเกษตรเพื่อดูแลตัวเองพอเพียงแบบนั้น ผมยังต้องเลี้ยงลูกต้องหาตังค์ ดังนั้นถ้าคิดถึง ณ ปัจจุบัน มองกลับย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมขอกลับไปตอนนั้น เพราะตอนนั้นมีตังค์ มีรถยนต์ขับ ซื้อรถป้ายแดงได้” นายวิชิต กล่าว

ดาบชิต กลุ่มแดงเชียงใหม่ กล่าวว่า ตนย้อนนึกถึงอดีตนายกฯ 2 ท่าน คือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กับนายทักษิณ เพราะถือว่าในแง่ปากท้องจับต้องได้ มากกว่า ทำให้คนมีอยู่มีกินเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ เรื่องปากท้องและโอกาสทางสังคมที่มีโอกาสโตได้ในแง่เศรษฐกิจ ก็ดูเหมือนจะดูแลตัวเองได้ ตอนนั้นถ้าเรามองภาพกว้างๆ ระบบการค้าขายระบบธุรกิจต่างๆ องค์รวมของประเทศกำลังเดินไปข้างหน้า เพราะ

ตอนนั้นมีคำพูดที่ว่า “เราจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย” ส่วนประเด็นเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นนั้น นายวิชิต กล่าวว่า ถ้าเรามองในเรื่องของตัวบุคคลและการทุจริต ขอถามว่ารัฐบาลปัจจุบันนี้ปลอดเรื่องนี้หรือไม่ แล้วรัฐบาลไหนที่ปลอดเรื่องการทุจริตบ้าง เรามีคำว่าประชาธิปไตย มีเรื่องการเลือกตั้ง “ถ้านำเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น มาเปรียบเทียบกับนายทักษิณ ความจริงแล้วมีทุกที่ และถ้าเราพูดกันแบบไม่ตอแหล มันแก้ไม่ได้หรอก ทุจริตกับประเทศไทย มันมีทุกสมัยอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศไทย ก็ยังมีทุจริตคอรัปชั่น แต่มันก็ต้องแก้ไข เรื่องนี้ภาคประชาชน ต้องช่วยกันสอดส่องจับกุม ทั้งนี้คนที่มีมุมมองทางการเมืองแตกต่างกัน แม้เราหันหลังให้กัน แต่ในจุดนี้เราสามารถแสวงจุดร่วมกันได้ ถ้าเรามองว่าปัญหาของชาติ ใหญ่กว่าปัญหาส่วนตัว มองว่าปัญหาของชาติใหญ่กว่าหัวโขนที่เป็นสีเสื้อที่สวมอยู่” ดาบชิต กลุ่มแดงเชียงใหม่ กล่าว ขณะที่ นายบัณรส กล่าวถึงความขัดแย้งแตกแยกต่างๆว่า เชื่อว่าโดยส่วนลึกของจิตใจทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนนักเคลื่อนไหว หรือประชาชนทั่วไป ไม่ได้ฝังไว้ในกมลสันดานในเรื่องของความก้าวร้าวรุนแรง ตนเชื่อว่าทุกคนมีมติร่วมกัน คือ ต้องการเห็นประเทศและคนไทยพัฒนาไปข้างหน้า แม้กระบวนการวิธีการอาจจะแตกต่างกัน การที่ประชาชนแบ่งกลุ่ม แบ่งพวก หรือที่ผ่านมามีการสร้างความแตกแยกในหมู่มวลชน แต่ความแตกแยกส่วนหนึ่งนั้น มาจากชนชั้นปกครอง , ข้าราชการ , นักการเมือง มีส่วนสำคัญ เพราะนักปกครองทั้งหลายมีแพทเทิร์นมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน

“ผมเชื่อว่าเราข้ามความขัดแย้งได้แน่นอน เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากคน เพียงแต่ว่าเรื่องทางการเมืองนั้น เห็นต่างหรือขัดแย้งกันได้ แต่คนไทยจะต้องไม่ฆ่าฟันกัน เรานำปัญหาต่างๆมา พูดคุยกัน กรณีของคุณทักษิณนั้น ผมมองว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนขึ้นมา ผมก็อยากจะเห็นกระบวนการตรวจสอบ, การจับผิด , ถ่วงดุล อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ความหวังของเราไม่เคยมีชัดเจนเลย ไม่ว่ายุคไหน เพราะไม่ว่ายุคไหนเราก็เห็นปัญหานี้” นายบัณรส กล่าว

สภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า สำหรับตนนั้น ไม่ได้มองถึงตัวผู้นำเป็นหลัก แต่มองว่าระบบและพลังอำนาจของประชาชน ที่จะไปตรวจและทัดทานไม่เคยถูกสถาปนาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือมีประสิทธิภาพจริงๆ รวมทั้งกระบวนการเหล่านี้ด้วย ปัญหาเมื่อ 15 ปีก่อนเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังมีการหลุดรอดหรือทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ ถ้าถามว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรนั้น คิดว่าสังคมจะต้องเรียกร้อง ให้เกิดการสถาปนาระบบ ,กระบวนการทัดทานตรวจสอบถ่วงดุล ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ต้องยกเลิกวิธีคิดว่าคุณอยู่ฝ่ายไหน แล้วมาสร้างกระบวนการประชาชนดีหรือไม่ ส่วนจะสามัคคีประเทศไทยกันอย่างไรนั้น นายบัณรส กล่าวว่า ต้องเอาประชาชนเป็นหลัก เอาสิ่งที่เราอยากเห็นเป็นหลัก แล้วขยับขับเคลื่อน ถามว่ามองเห็นความหวังอะไรบ้างนั้น 15 ปีมานี้ก็มีการคลี่คลายไปเยอะ เช่น การสัญจรของ นายนิติธรครั้งนี้เป็นเรื่องดี ที่ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และถ้าจะให้เกิดความสามัคคีจริงๆ กับประชาชนเราต้องอย่าให้ ผู้มีอำนาจ ผู้มีพลังเป็นคนสร้างวาทะกรรม หรือสร้างประเด็น แต่เราต้องสร้างประเด็นเองให้เขาทำตามเราบ้าง