31 กรกฎาคม 2567 ผศ.ดร.บุญเลิศ ไพรินทร์ อดีต สวและ สส จังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า มีเสียงเรียกร้องจากปัญญาชนและประชาชนทั่วไปให้มีการคืนพระราชอำนาจไปให้พระเจ้าอยู่หัว แต่ก็ยังมิได้มีการกำหนดขอบเขตของการคืนพระราชอำนาจแต่อย่างใด
เหตุผลประการสำคัญที่ต้องการถวายคืนพระราชอำนาจก็คงจะได้แก่การที่นักการเมืองต่างแย่งชิงการได้มาซึ่งอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ เพื่อจะได้เข้าไปมีอำนาจและทุจริตคอรัปชั่นได้และสามารถสนองตัณหาของเจ้าของทุนได้ ทั้งนี้เพราะการจะชนะการเลือกตั้งได้นั้นส่วนใหญ่จะต้องใช้เงินซื้อทั้งหัวคะแนนและผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง
ต้องซื้อเสียง สส เพื่อตั้งรัฐบาล ซื้อตำแหน่งรัฐมนตรี ซื้อ สส ในสภาในการโหวตสำคัญๆ เลี้ยง สส เป็นรายเดือนและเงินที่จะต้องใช้รักษาอำนาจในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป เหล่านี้ล้วนต้องใช้เงินมหาศาล
ด้วยเหตุนี้ “เงินจึงเป็นพระเจ้า” เมื่อเป็นเช่นนี้ “นายทุนใหญ่จึงเป็นพระเจ้า” ด้วย
นี่แหละที่มาของการทุจริตคอรัปชั่นทุกกระทรวง กรม จังหวัด
ที่มีงบพัฒนาลงไปในพื้นที่ทั่วประเทศ และการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลและข้าราชการประจำที่มีอำนาจดังกล่าวก็ส่งผลกระทบอันเลวร้ายนี้ไปยังอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรอิสระทั้งหลายรวมทั้งรัฐวิสาหกิจอีกด้วย
เจ้าของทุนใหญ่ก็อาศัยอำนาจรัฐบาลรีดนาทาเล้นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยการขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งนี้เพื่อเรียกทุนคืนและกำไรไม่รู้จบจากทุนที่ได้บริจาคให้กระสือทางการเมืองไปแล้วนั่นเอง เช่น ทุนใหญ่พลังงาน เป็นต้น ผลที่ตามมาคือความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนยากจนนั่นเอง ทำให้หนี้ครัวเรือนเกือบเท่าจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
คือมากกว่า 15 ล้านล้านบาท
เพื่อลดการแข่งขันทางการเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจมาทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน โดยการถวายคืนพระราชอำนาจให้กับพระมหากษัตริย์โดยให้พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจในการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
บุคคลที่มิใช่ สส สว ที่มีความรู้ความสามารถและความซื่อสัตย์เชิงประจักษ์มาเป็นรัฐบาลให้มีอำนาจบริหารประเทศ อาจรวมถึงข้าราชการระดับปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือที่เทียบเท่าตำแหน่งต่างๆดังกล่าวด้วยก็ได้ นอกจากนี้ให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจโปรดเกล้าฯแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาให้ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ กลั่นกรองร่างกฏหมาย ตรวจสอบการบริหารของรัฐบาลและแต่งตั้งองค์กรอิสระ ทั้งนี้หลังจากที่ได้ศึกษาข้อดีข้อเสียของระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตยภายใต้เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีในยุโรปและอเมริกา ระบอบเผด็จการภายใต้เศรษฐกิจเสรีแบบมีขอบเขตจำกัดในจีนและรัสเซีย และระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบภายใต้เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีอย่างสิงคโปร์แล้วนั่นเอง
การถวายคืนพระราชอำนาจแบบนี้จึงยังเป็นประชาธิปไตยแบบชี้นำ(Directed Democracy with Constitutional Monarchy) ตามจุดแข็งของประเทศไทย เพราะเชื่ออย่างสนิทใจว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงรักและหวงแหนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชนมากกว่านักการเมืองทุกคนนั่นเอง