ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ การเมือง การปกครอง ได้โพสข้อความระบุว่า กำหนด เป็น ตาย อยู่ หรือ ดับดิ้น
การแพร่ระบาดของโควิด19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในระลอกที่ 3 หลัง 16-25 เมษายน 2563 ดั่งที่เคยเตือนไว้นั้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว จนทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 3 ล้านคน ในสิงคโปร์พุ่งพรวดเพิ่มขึ้นนับหมื่นคนเลยทีเดียว
ในไทยได้เคยเน้นย้ำว่าในห้วงเวลาดังกล่าว การแพร่ระบาดจะมาอีกครั้งและจะเกิดจากปัจจัยภายนอก (การแพร่ระบาดจากนอกประเทศสู่ในประเทศ) ในระลอกที่ 3 นี้ ควรนำคนกักโรคยังต่างประเทศก่อน ให้ครบกำหนด 14 วัน แล้วจึงนำเข้าประเทศโดยให้สถานทูตดำเนินการ แต่กลับยืนยันจะให้พาคนกลับไทยให้ได้ อ้างเป็นสิทธิคนไทย จะต้องเปิดด่านทุกแห่งให้กลับมา
ปัจจุบันจึงเกิดการแพร่ระบาดในคนจากปัจจัยภายนอก เข้ามาสู่ไทย โดยเฉพาะชายแดนไทยมาเลเซีย ที่กำลังมีการแพร่ระบาดมาก จนลามติดไปยังเจ้าหน้าที่จนต้องกลับมาปิดด่านอีกครั้ง ทำให้เฉพาะคนกลุ่มนี้ติดวันเดียว พุ่งสูงขึ้นถึง 42 ราย และมีแนวโน้มที่จะติดพุ่งสูงขึ้นนับร้อยรายในเวลาอันสั้น
รัฐมนตรีเพิ่งก็จะเสนอขอปิดด่าน ห้ามต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทย อันเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ กระทบสิ่งที่ทำมาดีทั้งหมดที่สามารถรักษาตัวเลขผู้ป่วยได้ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง กระทบต่องบประมาณแผ่นดิน เพราะผู้ป่วยแต่ละคนจะใช้เงินรักษาไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อรายต่อคน ที่รัฐจะต้องรับผิดชอบ
จึงควรแม่นยำในยุทธศาสตร์ หรือ ธำรงค์ความมุ่งหมาย เดินตามหลักยุทธการ “ไวรัสพินาศ ประชาชนพ้นภัย” ด้วยการเข้มงวดตามเขตชายแดน น่านฟ้า น่านน้ำ คนไทยจะกลับประเทศจะต้องกักโรคในต่างประเทศให้จบก่อน จึงให้เข้าประเทศ และต้องมีหนังสือรับรองแพทย์ให้เรียบร้อย อย่าเอามาเป็นภาระของชาติ ต้องยึดประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ ให้สถานทูตประสานสถานที่กักโรค ส่งแพทย์ พยาบาลทหารไปสนับสนุน อำนวยคามสะดวก
ควรตรวจโรคตามแค้มป์คนงานต่างด้าวในประเทศที่อยู่กันอย่างแออัด ตร.ตรวจคนเข้าเมืองจะทราบแหล่งที่พักเป็นอย่างดี ให้ประสานกับกระทรวงสาธารณะสุข เพราะหากระบาดจุดใดจุดหนึ่ง จะลามไปอย่างรวดเร็วจึงต้องป้องปรามไว้ก่อน
ปัจจัยภายใน การผ่อนปรนในจังหวัดที่ไม่มีผู้ติดเชื้อ ควรทะยอยปลดล๊อคนั้นทำได้ถูกต้องแล้ว ทั้งบุรีรัมย์ โคราช ไม่จำเป็นจะต้องปลดล๊อคพร้อมๆกัน เพราะสถานการณ์ พฤติกรรม แตกต่างกัน ไม่สามารถยึดโยงกันได้ และควรเร่งคลายล๊อคในจังหวัดที่เข้าเกรณ์แล้ว โดยให้ยังคง พรก.ฉุกเฉิน-เคอร์ฟิวส์-ปิดน่านฟ้า น่านน้ำ แผ่นดิน จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม แล้วค่อยมาพิจารณาตามสถานการณ์
1 พฤษภาคม 2563 ควรพิจารณาปลดล๊อคให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ ยกเว้นเขตที่ยังไม่หยุดการแพร่ระบาด โดยต้องมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม กรมสุขภาพจิต จะต้องหามาตรการแก้ปัญหาคนฆ่าตัวตาย ที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้ ที่เกิดจากความเครียดสะสม ทั้งอากาศที่ร้อนจัด ทำให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นง่าย
สิ่งเหล่านี้คือหลักยุทธศาสตร์ การเมือง การปกครอง ในยามสถานการณ์วิกฤติ ที่ต้องแม่นยำในยุทธศาสตร์ ยึดยุทธการ ปรับยุทธวิธีให้เข้ากับสถานการณ์ นั้นเอง
“ ยุทธศาสตร์ การเมือง การปกครองเป็นเรื่องสำคัญ กำหนด เป็น ตาย อยู่ หรือ ดับดิ้น ของประชาชนทั้งประเทศ “
ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
26 เมษายน 2563