วันนี้ (4 ส.ค. 65) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวต่อกรณีการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท True Corporation จำกัด (มหาชน) และ บริษัท Total Access Communication จำกัด (มหาชน) หรือ ทรูและดีแทค ว่า ในวันที่ 10 ส.ค. ที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อพิจารณาการควบรวมกิจการของ ทั้งสองบริษัท โดยการควบรวม True-DTAC ครั้งนี้จะทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ True-DTAC เกิน 50% ของส่วนแบ่งตลาด
นายพิธา ยกเหตุผลว่า ในเรื่องนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยเอาไว้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแล้วว่า กสทช. มีอำนาจเต็มในการระงับการควบรวมธุรกิจหากการควบรวมธุรกิจส่งผลให้เกิดการผูกขาด ซึ่งเรื่องนี้เป็นการผูกขาดอย่างแน่นอนจากผลการศึกษาและวิเคราะห์ของอนุกรรมการของ กสทช. เองทั้ง 4 ชุด ก็ไม่ใช่อนุกรรมการชุดไหนเห็นด้วยกับการควบรวม โดยมีความเห็น ดังนี้
1. อนุกรรมการด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง ยังมีความเห็นว่า กสทช. ไม่ควรอนุญาตให้มีการควบรวม ทรู-ดีแทค เพราะจะทำให้เกิดการผูกขาด
2. อนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์ ก็มีความเห็นว่าผูกขาด กสทช. ไม่ควรอนุญาตให้ควบรวม
3. อนุกรรมการด้านเทคโนโลยี ก็บอกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีสามารถทำได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องควบรวมกิจการ
4. อนุกรรมการด้านกฎหมาย ถึงไม่ได้ให้ความเห็นเรื่องการผูกขาด แต่ก็บอกว่า กสทช. มีอำนาจเต็มที่จะยับยั้งการควบรวมครั้งนี้
นายพิธา ยังกล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนว่า อนุกรรมการศึกษากรณีการรวม TRUE และ DTAC ด้านเศรษฐศาสตร์เองก็ระบุว่าจากการใช้แบบจำลอง Upward Pricing Pressure Model เพื่อศึกษาการควบรวม True-DTAC พบว่าจะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้น 12-40% ในกรณีที่เป็นไปได้มากที่สุด เช่น สมมติว่าตอนนี้พี่น้องสื่อมวลชนหรือประชาชนทางบ้านเสียค่าโทรศัพท์อยู่เดือนละ 500 บาท ค่าโทรศัพท์อาจจะเพิ่มไปถึง 700 บาทก็เป็นได้
“ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมความลำบากของพี่น้องประชาชนในยุคที่ ของแพง-ค่าแรงถูก อยู่แล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้รัฐบาลต้องใช้ทุกมาตรการเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้นายทุนผูกขาดมือถือแล้วเอามือล้วงไปในกระเป๋าของพี่น้องประชาชน” นายพิธา กล่าว
นอกจากนี้ นายพิธา กล่าวว่า หากเราปล่อยให้มีการควบรวมกิจการ ผูกขาดธุรกิจดิจิทัล ต่อไปเอกชนก็จะไม่ต้องแข่งขัน ไม่เกิดนวัตกรรม ไม่เกิดการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ เพราะสามารถที่จะทำกำไรได้จากการผูกขาด เป็นการทำกำไรบนความลำบากของพี่น้องประชาชน
นายพิธา กล่าวต่อไปว่า ในเมื่อทั้งอนุกรรมการที่ กสทช. ตั้งขึ้นมาเองเพื่อศึกษาเรื่องนี้ก็ไม่เห็นด้วยกับการให้ควบรวม อนุกรรมการของ กสทช. เองบอกว่า กสทช. มีอำนาจเต็มที่จะยับยั้งการควบรวมกิจการ และศาลปกครองก็บอกว่า กสทช. มีอำนาจเต็มที่จะยับยั้งการควบรวมกิจการ จึงไม่มีเหตุผลเลยที่วันพุธที่ 10 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ บอร์ด กสทช. จะปฏิเสธความรับผิดชอบอ้างว่าแค่รับจดแจ้งรายงานไม่มีอำนาจยับยั้ง และก็ไม่มีเหตุผลเลยที่ กสทช. จะเห็นชอบการควบรวมกิจการที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะขัดกับผลการศึกษาของอนุกรรมการของ กสทช. เอง ทั้ง 4 คณะ
นายพิธา และพรรคก้าวไกล จึงขอเรียกร้องให้บอร์ด กสทช. ใช้อำนาจที่มีอยู่ ทำตามความเห็นของอนุกรรมการของ กสทช. ทั้ง 4 คณะ ในการยับยั้งการควบรวมกิจการของ True และ DTAC ที่จะเพิ่มค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน โดยหลังจากนี้เรามีเวลาอีก 6 วัน ก่อนที่ กสทช. จะลงมติ ส่วนตัวนายพิธา และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จะเดินทางไปพบสื่อมวลชน เพื่อหารือให้มีการนำเสนอข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับดีลควบรวม True-DTAC ให้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและร่วมกันกับคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลในการทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน