วันที่ 17 ก.ค.64 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นหลังรัฐบาลออกคำสั่งตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินโควิด สั่งห้ามชุมนุมทั่วประเทศ โดยระบุว่า
“กึ่งรัฐประหาร
การยกระดับมาตรการล็อคดาวน์ของรัฐบาลไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าสถานการณ์แพร่ระบาดและผลกระทบด้านต่างๆจะดีขึ้น เพราะประเด็นไม่ได้อยู่ที่สั่งปิดสั่งห้ามอะไรเพิ่ม แต่อยู่ที่ต้องมีวัคซีนเพิ่มและต้องเป็นวัคซีน mRNA ที่ตอบโจทย์ได้
วิธีการเพิ่มอำนาจให้ตัวเองผลักภาระให้ประชาชนที่ทำอยู่ นอกจากไม่แก้ปัญหาแล้วยังดูมีเป้าหมายแฝงทางการเมือง คือสกัดการชุมนุมหรือแสดงสัญลักษณ์ไม่ยอมรับรัฐบาลซึ่งขยายตัวไปในแวดวงต่างๆอย่างรวดเร็ว
การห้ามชุมนุม เรียกสื่อมวลชนไปกำหนดแนวทางเสนอข่าว และอื่นๆที่จะตามมาทำให้ประเทศเข้าสู่สถานการณ์กึ่งรัฐประหาร ซึ่งจะมีผลเพียงแค่กดดันประชาชน เพราะพิสูจน์ชัดแล้วว่าอำนาจรัฐเต็มมือพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีประโยชน์ต่อการจัดหาและจัดการวัคซีนเลย แม้แต่แอสตร้าเซนเนกาที่ส่งมอบไม่ได้ตามเป้าก็ไม่มีปัญญาทำอะไรเขาได้
คิดเรื่องรักษาอำนาจแต่ไม่มีเตียงรักษาคนป่วย ไม่สำนึกเลยว่าการชุมนุมที่มีแรงปะทะต่อรัฐบาลที่สุดไม่ใช่เวทีปราศรัย แต่คือการชุมนุมของคนรอตรวจรอเตียงและศพรอเผาที่เป็นข่าวอยู่ทุกวัน ยิ่งนานยิ่งมีแต่ภาพเหล่านี้บีบหัวใจประชาชน ล็อคดาวน์ตลอดชาติก็แก้ไม่ได้ถ้าวัคซีนที่ใช้ไล่ไม่ทันเชื้อโรค
มาตรการทั้งหลายไม่พูดถึงวัคซีน 100 ล้านโดสในปีนี้หรือเปิดประเทศใน 120 วันที่ประกาศไว้เลย อ้างแต่ 100 – 200 กรณีที่มีคนฝ่าฝืนล็อคดาวน์ซึ่งจะยกระดับขนาดไหนการฝ่าฝืนก็จะยังมี แต่คนได้รับผลกระทบจริงๆคือคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในกติกา สภาพวันนี้เหมือนชาวบ้านจะตายก็ตายไปแต่ประยุทธ์ต้องอยู่
รัฐบาลเผชิญทั้งวิกฤตโควิดและวิกฤตศรัทธา พรรคร่วมรัฐบาลที่น่าจะเป็นทางคลี่คลายสถานการณ์ก็เลือกอยู่กับอำนาจ ประชาชนเป็นโรคติดต่อแต่พรรคร่วมเป็นโรคติดตู่ เชื้อโรคกลายพันธุ์พัฒนาไปเรื่อย แต่การแก้ปัญหาของรัฐบาลไม่มีพัฒนาการที่เป็นความหวังของประชาชนเลย”