.
วันนี้ (27 มีนาคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยื่นฟ้อง สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในข้อหาแจ้งความเท็จ อันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาที่มิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น, สร้างพยานหลักฐานเท็จ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
.
นอกจากนี้ยังฟ้องเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาท จากกรณีที่สันธนะกล่าวหาว่า ที่โรงแรม เดอะ เดวิส คอนเนอร์ วิงค์ ซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย ของบุตรชายชูวิทย์ เป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดของนักเที่ยว มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จโดยการแอบถ่ายและนำคลิปวิดีโอไปแจ้งความกับตำรวจสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ทองหล่อ ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้ชื่อเสียงของโรงแรมและชูวิทย์เสื่อมเสีย
.
วันนี้จึงมายื่นฟ้องสันธนะ โดยมีบริษัท ต้นตระกูล จำกัด เป็นโจทก์ที่ 1 และมีชูวิทย์เป็นโจทก์ที่ 2
.
โดยชูวิทย์เดินทางมากับ อนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ซึ่งนัดนี้เป็นการไต่สวนมูลฟ้องครั้งที่ 2
.
ขณะที่อนันต์ชัยกล่าวว่า วันนี้ตนขอพูดข้อกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, พ.ร.บ.ทนายความ 2528, ข้อบังคับทนายความ 2529 และ พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ ข้อกฎหมายเหล่านี้ทีมงานได้รวบรวมมาเพื่อให้ความเห็น ให้ประชาชนทราบข้อกฎหมายที่แท้จริงและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หลังจากนี้ชูวิทย์ก็จะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้แล้ว ตนในฐานะทนายความแนะนำไว้ เพราะหาก ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์พาดพิงชูวิทย์อีก จะโดนดำเนินคดีอาญาและแพ่ง เรียก 100 ล้านบาทต่อครั้ง
.
การเรียกเงินค่าแถลงข่าว 3 แสนบาทนั้นตนมองว่า ถ้าการแถลงข่าวเป็นประโยชน์และเป็นความจริงแล้วลูกความได้รับความเป็นธรรม ในแง่มุมของตนเองไม่ผิด แต่การที่อ้างว่าเป็นทนายเพื่อประชาชนแต่ไปเรียกเงินประชาชน มันก็ไม่ถูก เรื่องนี้ต้องดูเป็นกรณีไป ตนไม่นำมาโจมตี เพียงแต่ตนเป็นทนายความของชูวิทย์ อยากฝากบอกถึงษิทราว่า กระบวนการที่เราทำงานคือบนศาล ว่าความกันบนศาล ไม่ใช่บนโซเชียล ที่ให้ลูกความไม่ต้องพูดไม่ใช่เพราะกลัว
.
ส่วนเรื่องถุงเงินหรือการรับเงินที่ทนายตั้มระบุก่อนหน้านี้ อนันต์ชัยกล่าวว่า ต้องอย่าลืมว่าคดีอาญานั้นใช้ประจักษ์พยานเป็นหลัก ไม่ใช่ดูพยานแวดล้อมหรือพยานบอกเล่า สิ่งที่ทนายตั้มพูดคือพยานบอกเล่า พูดแต่ว่า “เขาว่าๆ” ซึ่งต้องฟังด้วยความระมัดระวัง คดีนี้ทนายตั้มก็ไม่มีส่วนได้เสีย อยากให้คิดตามว่าหากเจอกันในศาลจะโดนซักค้านอย่างไร สิ่งเหล่านี้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
.
อยากฝากบอกทนายตั้มว่า ถ้าไม่ใช่ผู้เสียหาย และเป็นเพียงพยานบอกเล่า ต่อไปนี้หากหยิบยกเอกสารอะไรขึ้นมาพูดอีก ชูวิทย์จะฟ้องครั้งละ 100 ล้านบาท ตนไม่อยากให้วิชาชีพทนายมีความเสียหาย เพราะทนายความต้องว่าความในศาล ไม่ใช่โซเชียล
.
อนันต์ชัยกล่าวต่ออีกว่า ตนทราบมาว่าตอนนี้มีการร้องมรรยาททนายความเกี่ยวกับษิทราจำนวนหลายคดี ที่เป็นปัญหาอยู่คือคดีของอดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งคดีนี้ตนเสียใจมาก เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ที่ษิทราพูดประโยคหนึ่งในครั้งนั้นว่า ชูวิทย์โทรไปหาษิทราและขอร้อง ตนถามชูวิทย์แล้วทราบว่า เป็นการโทรไปเพียงแต่บอกให้ษิทราดูให้ดี เพราะข้อเท็จจริงของผู้หญิงที่เกี่ยวข้องไม่ใช่แบบที่เป็นข่าว
.
กรณีการรับเงิน 6 ล้านบาท หรือ10 ล้านบาท หรือกระทั่ง 50 ล้านบาท ที่ถูกระบุว่าเป็นเงินดิจิทัล แล้วมีการให้สัมภาษณ์ ซึ่งชูวิทย์ถามมายังตนว่าการกระทำดังกล่าวของษิทราทำถูกหรือไม่
.
ตนแจ้งว่าไม่สามารถตอบได้ แต่มาตรฐานตนคือจะไม่วิจารณ์คดีใคร ไม่ก้าวก่ายงานใคร และไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเปิดเผยในที่สาธารณะ และถ้าไม่ใช่ลูกความก็จะไม่แถลงข่าว เพราะเป็นการผิดมรรยาททนายความ แต่วันนี้ตนขอแถลง 3 ประเด็น
.
1. เรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช่วงชูวิทย์เปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชัน และมีบุคคลมาแถลงข่าวโดยที่ไม่มีส่วนได้เสียและไม่ใช่ประจักษ์พยาน ในศาลถ้าไม่ใช่ประจักษ์พยาน เป็นพยานบอกเล่า ศาลจะไม่รับฟัง ยกเว้นพยานหลักฐานแวดล้อมใกล้เคียงและสอดคล้องกัน แต่การไปกล่าวหาชูวิทย์และลูกชายว่าไปรับเงิน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว ยิ่งจริงยิ่งผิด การรับเงิน 6 ล้านบาท หรือ 10 ล้านบาท มีพยานหลักฐานหรือไม่ มีแต่ภาพถ่ายถุงเงิน
.
2. เรื่องมรรยาททนาย การที่ษิทราเป็นบุคคลผู้มีวิชาชีพทนายความ มีการแถลงข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ข้อบังคับของสภาทนายความที่ระบุว่า การกระทำอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องกันอันเป็นการหามูลไม่ได้ มีโทษสูงสุดต้องลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ และต่อไปชูวิทย์ก็จะต้องไปร้องสภาทนายความ เราชาวทนายความทั้งหมดรู้สึกว่าการกระทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง การกระทำดังกล่าวน่าจะผิดมรรยาท
.
3. เรื่องสุดท้าย อยากฝากเรียนโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ว่า ที่ออกมาระบุว่าสุ่มเสี่ยงฟอกเงิน อยากบอกว่า ชูวิทย์ไม่เหมือนกรณีมังกรฟ้า สำหรับชูวิทย์ ถ้าตนบอกชูวิทย์ว่าฟ้องเลย มาตรา 157 และ 200 ควรจะพูดว่า ต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อน ไม่ใช่สุ่มเสี่ยง คุณเป็นตำรวจ อย่ามาเล่นกับตน ชูวิทย์เอาจริงและคุณจะเดือดร้อน
.
“ในเรื่อง พ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงินฯ ที่มีโทษอาญานั้นจะต้องมีการกระทำโดยมีเจตนา โดยรู้ว่าเงินหรือทรัพย์สินได้มาจากการกระทำผิดมูลฐาน และต้องรับโอนซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มา หรือทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดตามมาตรา 5 แต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ชูวิทย์ไม่รู้และไม่มีเหตุอันควรจะรู้ เพราะทรัพย์สินที่ได้มาเป็นเงินที่ได้จากการพนันและกระทำผิดตามกฎหมายหรือไม่” อนันต์ชัยกล่าว
.
ด้านชูวิทย์กล่าวว่า การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ เมื่อมีอาชีพทนายก็ต้องใช้กฎหมาย ดังนั้นสภาทนายความหรือสื่อมวลชนควรจะพิจารณา อีกทั้งการเป็นทนายความต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้หลักฐาน ใช้พยาน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายใช้การแถลงข่าว นั่นไม่ใช่วิถีของทนายความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบอกว่าตัวเองเป็นทนายประชาชน ส่วนเงินบริจาคจำนวน 6 ล้านบาทที่ทางโรงพยาบาลคืนมา อยากให้ติดตามว่าวันพรุ่งนี้ (28 มีนาคม) จะเอาไปให้ใคร
.
______________________________________