วันที่ 10 ก.พ. 65 เจ้าของร้านทอง ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ได้เข้าแจ้งความทุกข์ กับ ร.ต.อ.กฤษณะ ธรรมจิตร รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองหนองคาย ว่าถูกคนร้ายหลอกเอาทองไปได้ 100 บาท มูลค่า 2.9 ล้านบาท
เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 12.45 น. คนร้ายเป็นชาย สวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าสีดำ ผมยาวสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ และกางเกงขายาวสีดำ และสวมรองเท้าหนัง เข้ามาในร้านขอซื้อสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 10 บาท จำนวน 4 เส้น เป็นเงิน 1,160,000 ล้านบาท และสร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 5 บาท จำนวน 12 เส้น รวมเป็นสร้อยคำทองคำ 17 เส้น เป็นเงิน 1,740,000 บาท น้ำหนักรวมทั้งหมด 100 บาท เป็นเงินรวม 2.9 ล้านบาท อ้างว่าจะซื้อทองเพื่อนำไปแจกให้กับลูกค้าและญาติพี่น้อง
โดยคนร้าย ได้แจ้งให้เจ้าของร้านว่าจะมีญาติโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของร้านให้ สักพักก็บอกว่าได้โอนเงินเข้าให้แล้ว เจ้าของร้านก็ได้โทรไปตรวจสอบกับธนาคารที่ตนเองเปิดบัญชีไว้ ก็ได้รับคำตอบว่ามีเงินเข้าจริง จึงได้มอบสร้อยคอทองคำให้กับคนร้ายไป จากนั้นประมาณ 15 นาที เจ้าของร้านได้ตรวจเช็ค sms ที่โทรศัพท์ ทำให้รู้ว่าที่เงินเข้าเป็นการเข้าแบบเช็คเคลียริ่ง (มีแต่ยอดเข้ามาก่อน ยังไม่มีเงินเข้า) จึงตรวจสอบกับธนาคารอีกครั้งและคิดว่าน่าจะถูกหลอก จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองหนองคาย
ล่าสุดพิสูจน์หลักฐานหนองคาย ได้เข้าเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุแล้ว ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ก็ได้เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
พ.ต.อ.ยุทธนา งามชัด ผกก.สภ.เมืองหนองคาย เปิดเผยว่า กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพคนร้ายไว้ได้ชัดเจน แต่คนร้ายมีการปกปิดใบหน้า และไม่ทราบว่าเป็นใคร เนื่องจากทางร้านทองฯ ไม่ได้ตรวจสอบเอกสารประจำตัว คือบัตรประชาชนของคนร้าย และคนร้ายก็ไม่ได้เปิดหน้าตนเองให้ทางร้านดู เพียงแต่เขียนชื่อซึ่งคาดว่าจะเป็นชื่อปลอมให้กับทางร้านไว้ และทางร้านก็ไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ไว้
ส่วนการตรวจสอบที่ธนาคารรู้ชื่อเจ้าของบัญชีที่ออกเช็คแล้ว กำลังเร่งติดตามตัวเพื่อมาดำเนินคดี จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าคนร้ายเคยกระทำความผิดลักษณะนี้มาก่อน
ผกก.สภ.เมืองหนองคาย ได้ฝากเตือนถึงร้านทองว่า หากมีบุคคลแปลกหน้ามาซื้อทองที่ร้าน ขอให้ทางร้านมีการตรวจสอบหลักฐานประจำตัวให้ชัดเจน โดยเฉพาะบัตรประชาชน และขอให้เปิดใบหน้าให้กับทางร้านได้ดู เพราะมิจฉาชีพอาจจะใช้วิธีช่องว่างแบบนี้ และทางร้านอาจจะหลงลืมหรือประมาท จนทำให้เกิดข้อผิดพลาด ส่วนการติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ได้มีการใช้เทคโนโลยีในการติดตามตัว อีกทั้งได้เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคา