วันนี้เด็กนักเรียนในห้องพากันชูสามนิ้ว แล้ววิ่งส่งเสียงดังรอบห้องกันอย่างคึกคะนอง เราที่เป็นครูสอนก็ได้ปรามเพื่อให้เงียบและนั่งที่เพื่อเรียน สิ่งที่ทำให้สะดุดในใจคือเด็กพูดขึ้นอย่างสนุกปากว่า ทำไมครู ทำไม ครูจะตีผมหรอ เพราะผมชูสามนิ้วหรอ วินาทีนั้นเรารู้เลยว่า เราอยู่ในยุคที่เด็กมีความคิดอคติกับผู้ใหญ่เช่นกัน ความเป็นตัวของตัวเองบ่มเพาะความก้าวร้าวเล็กที่เกิดขึ้น และเมื่อตระหนักถึงภัยของวิชาชีพครู เราก็รู้ได้เลยว่า เพียงนิดเดียวที่เราไม่อธิบาย มันอาจแปลได้ว่า วิชาชีพเราพร้อมถูกประนาม.. ครูดุเธอ เพราะเธอวิ่งไปมาส่งเสียงดัง ทำไมถึงไม่ให้วิ่ง เพราะอาคารเรียนไม้ชั้นสองถ้าวิ่งก็จะรบกวนห้องเรียนด้านล่าง ถ้าเธอวิ่งล้มหัวชนโต๊ะหัวแตก ครูก็คือความรับผิดชอบนั้น เธอส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนที่กำลังตั้งใจจะเรียน นี่คือสิ่งที่ครูดุเธอ แล้วครูขอถามกลับ การชูสามนิ้วหมายถึงอะไร อธิบายให้ครูฟังสิ เด็กนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ และพูดขึ้นว่าไม่เอาลุง…ๆๆๆ ไงล่ะครู นี่เลยถามต่อ หนูไม่เอาเพราะอะไร นักเรียนนิ่งเงียบไปอีก แล้วพูดต่อว่า เขาไม่ดี ครูถามต่อว่า ไม่ดีอย่างไร เขาก็ตอบไม่ได้.. นี่เป็นการสะท้อนอะไรบางอย่าง การกระทำบางอย่างถูกปลุกปั่นจากกระแสสังคม เด็กกลายเป็นเครื่องมือโซเชียล คุณจะรับหรือไม่รับแง่นี้ก็ได้ ครั้งนึงฉันเคยฝังตัวกับการเมืองอย่างบ้าคลั่ง จนมาวันนี้ฉันได้รู้ว่าการเมืองคือดาบสองคมที่ทิ่มแทงคนที่เสพติดแบบขาดการกลั่นกรอง เด็กเหล่านี้เขามีความคิดจริง แต่ด้วยวัยวุฒิของเขาทำให้เขาแยกแยะยังได้ไม่ชัดเจน หวังแค่เพียง #อย่าใช้เด็กเหล่านี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเลยค่ะ
#ประสบการณ์สอนวันนี้ของฉัน