วันนี้ (12 กันยายน) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 ยื่นฟ้อง จตุพร แซ่อึง ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ อายุ 23 ปี แนวร่วมกลุ่มบุรีรัมย์ปลดแอก ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉินฯ, ร่วมกันฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ, ร่วมกันชุมนุมที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคระบาด, ร่วมกันชุมนุมก่อให้เกิดความไม่สะดวกในที่สาธารณะ, ร่วมกันไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขคำสั่งเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมฯ และร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง โดยไม่ได้รับอนุญาต
จากกรณีการชุมนุมแต่งกายชุดไทยร่วมกิจกรรมแคตวอล์กราษฎร ‘รันเวย์ของประชาชน’ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 บริเวณหน้าวัดพระศรีอุมาเทวี (วัดแขก สีลม) เรียกร้องเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันฯ เหตุเกิดที่แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร จำเลยให้การปฏิเสธในข้อหา
โดยในวันนี้ จตุพรสวมชุดไทยเดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมด้วยทนายความ ก่อนฟังคำพิพากษา จตุพรกล่าวว่า คดีนี้ที่ผ่านมาตนยืนยันให้การปฏิเสธ ขอให้การในชั้นศาล ซึ่งในการสืบพยานตนเองเบิกความด้วยตัวเอง 1 ปากพร้อมนำส่งเอกสารพยานหลักฐานให้ศาลพิจารณาประกอบด้วย
ในการเข้าร่วมการชุมนุม ตนเองใส่ชุดไทยตามปกติ ไม่ได้แต่งเลียนแบบใคร ไม่ได้ให้ใครมากราบมาไหว้ หรือตะโกนทรงพระเจริญ คดีนี้เกิดจากการตีความของบุคคลอื่นและพยานโจทก์ที่มาเบิกความคิดไปเอง ซึ่งใครจะมองว่าตนแต่งเป็นใครก็ได้ แต่ตนเองยืนยันว่าแค่อยากใส่ชุดไทยเท่านั้น ส่วนตัวมั่นใจตัวเอง
ด้าน กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา ว่าศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี ปรับ 1,500 บาท ลดโทษปรับ 1 ใน 3 เหลือปรับ 1,000 บาท โดยโทษจำคุกไม่รอลงอาญา
ขณะที่ศาลให้เหตุผลว่า การแสดงดังกล่าวมีเจตนาที่จะล้อเลียนสถาบันฯ โดยมีการตระเตรียมการไว้
อย่างไรก็ตามขณะนี้ทนายความกำลังยื่นขอปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์อยู่ โดยอาจจะพิจารณายื่นหลักทรัพย์เดิมที่เคยยื่นไว้ 2 เเสนบาท เเต่เรื่องหลักทรัพย์ต้องดูรายละเอียดเเน่ชัดอีกครั้ง