“จตุพร”ท้าให้จับคนฝ่าฝืนห้ามชุมนุมฯ เย้ยกล้าจับ “ประวิตร-ชัชชาติ” จัดชุมนุมหรือไม่ ลั่นยินดีนอนคุกด้วย ย้ำเส้นตาย เที่ยงคืน 23 ส.ค.ประยุทธ์ต้องพ้นนายกฯ 8 ปี “นิติธร”แขวะสั่งเขียนเองกลับละโมบอำนาจอยากอยู่เกิน ลั่นพร้อมนำ ปชช.ลุยไล่
คณะหลอมรวมประชาชน นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา นำคณะเข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 3 ส.ค. 2565
หลังยื่นหนังสือ นายจตุพร กล่าวว่า คำสั่งของ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง ประกาศห้ามการชุมนุมทั่วราชอาณาจักร แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกไม่ได้ห้าม ยังเป็นไปตามปกติ แต่สงสัยคือ เมื่อคณะหลอมรวมฯ จัดชุมนุมเมื่อ 31 ก.ค. แล้วรุ่งขึ้น 1 ส.ค.ก็ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามชุมนุมทันที
อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ มีคนแรกที่ไม่ยอมรับคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพราะได้นัดชาวหนองคายในวันที่ 6 ส.ค. ไว้แล้ว และคณะครอบครัวเพื่อไทย นัดที่เชียงรายวันที่ 7 ส.ค. และยืนยันกันเหมือนเดิม อีกทั้งนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.ยังคงจัดฉายหนังกลางแปลงเหมือนเดิม รวมทั้งสนามมวย และสถานบันเทิงก็ยังเปิดเหมือนเดิม
“ดังนั้น คำสั่งนี้ถ้าเคร่งครัดต้องจับ พล.อ.ประวิตร ก่อน และไปจับที่เชียงราย และจับชัชชาติด้วย พวกผมพร้อมนอนคุกกับคนเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไร และ 7 ส.ค.ยังยืนยันจัดที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาตามเดิม เมื่อประวิตร จัดได้ พรรคการเมืองจัดได้ กทม.จัดได้ ถ้าไม่มีการจับ คณะหลอมรวมประชาชน ก็ยังจัดได้เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
นายจตุพร เสนอว่า ควรยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน เนื่องจากใช้ผิดวัตถุประสงค์กันมาตั้งแต่แรก เพราะ พรก.ฉบับนี้ออกเมื่อปี 2548 เพื่อบังคับใช้ใน 3 จังวัดชายแดนภาคใต้ แต่กลับนำมาใช้กับปฏิปักษ์ทางการเมืองซ้ำซากทุกรัฐบาลหลังจากนั้นมา ซึ่งนายวิษณุ รู้ดีที่สุด และได้ร่วมออกกฎหมานี้ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
นายจตุพร กล่าวถึงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีว่า พล.อ.ประยุทธ์ จำไม่ได้หรือที่บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองค์มนตรี ซึ่งไม่มีอะไรมั่วหมองเลย เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีนานยังประกาศพอแล้ว ทั้งที่ช่วงนั้นไม่มีรัฐธรรมนูญกำหนดห้ามการเป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปีเอาไว้ด้วย
แต่มาคราวนี้ ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทบทวนตัวเองช้าๆ ว่า มาตรา 158 ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เห็นด้วยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 จะเขียนได้หรือ แต่พล.อ.ประยุทธ์ กลับคิดจะอยู่เกินในขณะที่ตัวเองกำลังเดินมาครบ 8 ปี ซึ่งจะเป็นปัญหาตามมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ 2560
“ถ้ามีสามัญสำนึก และถ้าเอาสัจจะวาจาแรกว่าขอเวลาอีกไม่นานเป็นที่ตั้ง พวกผมยังยืนกรานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสิ้นสุดลงตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 23 ส.ค. ฉะนั้นอย่ามาปิดปากประชาชนให้ยาก โดยเรื่องต้องขับเคลื่อนกันต่อไป เพราะเป็นการกระทำผิดกฎหมายที่ตัวเองสั่งให้เขียนกฎขึ้นมาเอง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง ทั้งที่เอาเปรียบคนอื่นมามากแล้ว วันนี้เราจึงเดินมาถึงจุด พล.อ.ประยุทธ์ถ้าอยู่ต่อ ถึงอย่างไรก็พัง และเรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้ แต่เป็นเพียงความละโมบทางอำนาจของตัวเอง”
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่างจีนกับไต้หวันว่า ถ้าไทยยินยอมให้สหรัฐมาตั้งฐานทัพจะเกิดหายนะต่อไทยอย่างที่สุด จึงเตือนไว้อีกครั้งหนึ่ง เพราะขณะนี้กำลังขยับมาจ่อคอหอยกันอยู่แล้ว
ด้านนายนิติธร กล่าวว่า การประกาศห้ามชุมนุมฯนั้น พล.องประยุทธ์ ต้องการขัดขวางการชุมนุมทางการเมือง ต้องยกเลิกคำสั่งนี้ และถ้าจะออกกฎหมายเพื่อความมั่นคงต้องสอดคล้องสถานการณ์โลก โดยเฉพาะการเผชิญหน้าจีนกับสหรัฐ ซึ่งทหารสหรัฐเคลื่อนไหวในไทยอย่างมาก จึงควรออกประกาศให้หยุดเคลื่อนไหวและควรให้ออกจากประเทศไทยทันที อีกทั้งประชาชนต้องตรวจสอบ พร้อมควบคุมคนพวกนี้มาปฏิบัติราชการลับได้
“ฉะนั้นท่าน (พล.อ.ประยุทธ์) ต้องไม่ควรวางเฉยในเรื่องนี้ นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำในขณะนี้ประชาชนก็จะทำ ถ้าประชาชนรู้สึกว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา รู้สึกว่าท่านไม่ได้เป็นคนไทย แล้วประชาชนจะปฎิบัติกับท่านอย่างไร ทั้งที่ท่านปฎิบัติหน้าที่มา ท่านไม่เคยให้อะไรกับประชาชนเลย ทุกอย่างคนละครึ่งหมด รัฐธรรมนูญก็ครึ่ง อำนาจอธิปไตยก็ครึ่ง ท่านต้องเลิกนิสัยนี้”
นายนิติธร กล่าวอีกว่า วันนี้มาย้ำและเตือนถึงการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ซึ่งจะอ้างอะไรก็ไม่อาจยอมรับได้ เพราะเห็นชัดเจนว่า ไม่เคารพกฎหมาย โดยสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะการตระหนักต่อการทำตามกฎหมายจึงสำคัญกว่า
“ท่านเป็นทหาร ท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี บอกรู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องที่ควรทำต้องจงรักภักดีกลับไม่นำพา ผมจึงมาเตือนไว้ ถ้าพ้นวันที่ 23 ส.ค.ไป ผมก็จะพาประชาชนมาที่ทำเนียบรัฐบาล เรียกเอาว่า เอากันอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่ามาอยู่และต้องอยู่ไม่ได้”
นายนิติธร ย้ำว่า ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะพ้นตำแหน่งในวันที่ 23 ส.ค. ต้องไปยกเลิกกฎหมายไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะต้องไปยกเลิกการลอยตัวของก๊าซต่างๆ ให้มีราคาถูก ดังนั้น อีก 20 กว่าวัน (ก่อนถึงวันที่ 23 ส.ค.) ยังมีเวลาแก้ไขเสียก่อน อย่าให้เป็นหน้าที่ของประชาชนที่มีจำนวนมาก จึงมาแจ้งเตือนด้วยความหวังดี และให้เคารพต่อกฎหมายด้วย
สำหรับหนังสือของคณะหลอมรวมประชาชนที่ยื่นถึง พล.อ.ประยุทธ์ นั้น มีรายละเอียดที่สำตัญใน 2 ประการคือ ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยกเลิกคำสั่งห้ามชุมนุมมั่วสุมทั่วราชอาณาจักร พร้อมกับย้ำให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 ประกอบบทเฉพาะกาล มาตรา 264 ได้ระบุให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ซึ่งจะครบในวันที่ 23 ส.ค. 2565
ในหนังสือระบุว่า ประกาศห้ามชุมนุมฯ ฉบับที่ 15 ลงวันที่ 1 ส.ค. 2565 อ้างเหตุผลหวั่นเกรงการแพร่ระบาดของ โควิด-19 นั้น ทำให้คิดได้ว่าเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงและประโยชน์ของรัฐบาลมากกว่าความมั่นคงและประโยชน์ของรัฐ ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ผู้รักษาตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุนเฉิน พ.ศ. 2548 จึงควรมีคำสั่งให้ยกเลิกประกาศฯ
ส่วนการยืนยันให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่ออยู่ครบ 8 ปีนั้น หนังสือระบุว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 158 ประกอบด้วยบทเฉพาะกาล มาตรา 264 ได้กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้เพียง 8 ปีเท่านั้น สิ่งสำคัญรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุให้นับรวมเวลาการเป็นนายกรัฐมนตรี โดยจะเป็นเกินกว่า 8 ปีไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นนายกรัฐมนตรีก่อนหรือตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องเข้าข่ายตามเงื่อนไขดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปีทั้งสิ้น
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งคณะต้องเคารพนับถือยำเกรงกฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง ต้องตระหนักสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน ต้องทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นผลอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้การปกครองไม่มีเสถีรภาพ ราบรื่นเรียบร้อย ไม่นำพาประเทศชาติ ประชาชนเข้าสู่ปัญหา สร้างความขัดแย้งจนเกิดวิกฤตอันตกต่อการแก้ไขสถานการณ์” หนังสือระบุ
รวมถึงย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องปฎิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ หากฝ่าฝืนต้องรับผิดต่อการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสรุป 1. จะสร้างผลกระทบต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 2. เกิดกรณีแอบอ้างตำแหน่งหน้าที่การงาน เพื่อหลอกลวงประชาชน
รวมทั้ง 3. การดำเนินการใดเกี่ยวกับงบประมาณจะมีความผิดในลักษณะฉ้อโกงประชาชน อันอาจถูกยึด อายัด ตรวจสอบทรัพย์สิน และ 4. หากทำหน้าที่ต่อไปจะเป็นการทำตามอำเภอใจ โดยไม่มีกฎหมายรองรับ
ข้อสรุปทั้ง 4 ข้อข้างต้นนั้น “ถือได้ว่าได้แจ้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งคณะทราบแล้ว ดังนั้นการจะกล่าวอ้างใดๆว่า ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความสงสัยในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ตนเอง เพื่อดำรงตำแหน่งต่อไป เพื่อพ้นผิดจากการกระทำที่ไม่ชอบกฎหมาย ย่อมไม่อาจรับฟังได้”
ประเทศไทยต้องมาก่อน