28 มิ.ย.63-ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี มีการจัดรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ที่ยังคงจัดในรูปแบบสตูดิโอและงดกิจกรรมร้องรำทำเพลง มีเพียงการสื่อสารของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.โดยนายจตุพรกล่าวว่า ข่าวที่กัลยาณมิตรร่วมรบจำนวน 5 คน
ต้องคำพิพากษาศาลฎีกาจำคุก 2 ปี 8 เดือนในคดี บ้านสี่เสาเทเวศร์ และต้องไปอยู่ในเรือนจำกรุงเทพฯ ส่วนตนนั้นอยู่ในสำนวนที่ 2 เพราะอัยการได้แยกฟ้อง เดิมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ควรจะเป็นเรื่องกันได้เลย บรรดาตำรวจชุดเจรจา ขณะนี้เกษียณกันไปแล้ว มีหลายคนที่เกี่ยวข้องจากอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม ก็มาอยู่ในฝ่ายเดียวกัน หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เราก็พยายามทบทวนความจำทั้งหลายว่า หากไม่มีการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม แม้บนเวทีประกาศว่าจะอยู่กันจนรุ่งสางก็ตาม แต่ก็ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ชุดเจรจา เพราะในขณะนั้นก็ไม่รู้ว่ามีมือที่3 เท้าที่4 เริ่มผสมกันมากมาย
.
นายจตุพรกล่าวว่า คดีนี้เมื่อเข้าไปถึงจากชั้นพนักงานสอบสวน ไปสู่พนักงานอัยการปรากฏว่าอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ทำให้เรื่องถูกส่งกลับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในขณะนั้นพ้นจากตำแหน่ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผบ.ตร.ในยุคนั้นมีความเห็นแย้งต่ออัยการ เมื่อตำรวจกับอัยการมีความเห็นแย้งกันประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ก็ให้อำนาจเป็นของอัยการสูงสุด ในขณะนั้นคือนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นผู้ชี้ขาดว่าสั่งฟ้อง
.
ต่อมาเมื่อนายชัยเกษม พ้นจากตำแหน่งก็มาเป็นรมว.ยุติธรรม สังกัดพรรคเพื่อไทย และชี้ขาดว่าสั่งฟ้อง เป็นการสวนทางกับอัยการเดิม ทำให้มีการแยกเป็น 2 สำนวนฟ้อง โดยสำนวนแรกคือบรรดาหมู่มิตรทั้ง 5 คนที่ศาลสั่งจำคุก 2 ปี 8 เดือน ส่วนสำนวนที่ 2 คือ ตน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นายจักรภพ เพ็ญแข นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และมีบุคคลอื่นๆ ซึ่งคดีเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งมีการยึดอำนาจ มีการสั่งฟ้องตนคนแรกและมีประชาชนอีก 1 คน มีการรายงานต่อศาลภายหลังมีการยึดอำนาจ มีการจับตัวไปฟ้องศาล และตนได้บอกกับศาลว่า เมื่อได้รับหมายตนก็มาโดยไม่มีการจับกุมใดๆทั้งสิ้น
.
นายจตุพรกล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ในการพิจารณาต่อไปตามสำนวนที่ 2 คดีนี้ที่ตนได้ไปนั่งฟังและให้กำลังใจบรรดาหมู่มิตรมานั้น เราเข้าออกคุกมา 4 รอบแล้วย่อมเข้าใจ ในการอ่านคำวินิจฉัยในคดีก็พ่วงชื่อตนเป็นระยะๆ คนที่อยู่ในศาลก็รู้ว่า โอกาสรอดนั้นเท่ากับศูนย์ในสำนวนที่ 2 ในฐานะที่เคยเข้าออกคุก ได้มาเล่าให้กับพี่น้องฟังว่า เมื่อเข้าไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ตาม ก็ต้องไปอยู่ในบริบทที่เป็นคาถาประจำคุกว่า อยู่ให้เป็นเป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ ตลอดระยะเวลาการต่อสู้กว่า 10 ปีมานั้นมีทั้งคนเจ็บ คนตายและคนติดคุก หากยังจำกันได้ มักจะปลุกและปลอบประชาชนเสมอว่า เวลาที่มีความสิ้นหวัง มีความทุกข์ให้นึกถึง พี่น้องที่อยู่ในเรือนจำที่เขาทุกข์กว่า และเมื่อตัวเองอยู่ในคุกก็บอกพี่น้องที่อยู่ในคุกว่า ให้นึกถึงประชาชนที่เสียชีวิต ครอบครัวเขาทุกข์กว่าเรา ดังนั้นมีความพยายามเล่นเกมสกปรกโดยพยายามอธิบายว่า คดีนี้ตนรอดเพียงคนเดียวนั้นไม่เป็นความจริง เพราะเชื่อว่าตนไม่รอด เพียงแต่พอยังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง
.
“ตลอดการต่อสู้ของทุกฝ่ายในห้วงกว่า10 ปีนี้ไม่ควรจะมีใครต้องมาติดคุก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม เพราะแต่ละฝ่ายแม้ความเชื่อจะแตกต่างกัน แต่ การต่อสู้ทางการเมืองก็ไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆกันทั้งสิ้น และที่ผ่านมาคยพูดเสมอว่าคนที่ร่วมต่อสู้มา ปีพศ. 2535 ต่างก็แยกไปเวทีฝ่ายต่างๆ ไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวกัน ดังนั้นการต่อสู้ตามความเชื่อ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้น มักจะพูดเสมอว่า เมื่อศาลพิพากษาคนเสื้อเหลือง ก็ร้องขอคนเสื้อแดงว่า อย่าไปสะใจ เพราะเมื่อถึงคราวคนเสื้อแดงติดคุก เราก็จะเห็นความสะใจจากคนเสื้อเหลือง ดังนั้นต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ให้รักษาพื้นที่ความเป็นมนุษย์ เอาไว้ให้มากที่สุด เพราะทุกคนจะติดคุกมากน้อยก็ตามมันก็คือทุกข์”