วันที่ 21 ก.พ.66 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เพจเฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan – จตุพร พรหมพันธุ์ ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์ข้อความระบุว่า “คุยใหญ่ไว้ฟังเอามันอารมณ์” จตุพร แซะเพื่อไทยหาเสียงเลือกตั้ง รบ.พรรคเดียว แค่คุยคำใหญ่จับ “ประยุทธ์ ติดคุกยกแก๊ง” ชี้โกหกไม่รับผิดชอบ เหตุคนพูดไม่อำนาจตัดสินใจ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ยกความจริงปี 2554 ประกบ ลืมสัญญาเซ็น ICC จัดการ “ประยุทธ์” ซ้ำร้ายประเคนเสียงชนะไปขอความคุ้มครองอีก คาดจุดเปลี่ยนการเมือง 2 เรื่องใหญ่ ศาลชี้ขาดราษฎรต่างด้าว และยุบพรรค เชื่อทำไม่ทำ กกต.ชงแล้ว อยู่ที่อำนาจรัฐตัดสินใจ
เมื่อ 20 ก.พ. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ระบุถึงสถานการณ์ทางการเมืองจะมีจุดพลิกเปลี่ยน 2 เหตุการณ์ ซึ่งเกิดจากศาล รธน.วินิจฉัยปมราษฎรต่างด้าว และการยุบพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล และพลังประชารัฐ
นายจตุพร กล่าวว่า การยุบพรรคนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศระเบียบใหม่ขยาย วิธีปฏิบัติตามกฎหมายเลือกตั้ง ย่อมแสดงถึงการไตร่ตรองไว้ก่อน จึงไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนกระทำ โดยคาดช่วงเวลาเหมาะจะเกิดขึ้นหลังวันรับสมัตรเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้น ในทางการเมือง การยุบพรรคจึงอยู่ที่ฝ่ายอำนาจรัฐจะเอาหรือไม่เอาเท่านั้น
อีกทั้ง เชื่อว่า เมื่อรัฐต้องการยุบ 2 พรรค คือ เพื่อไทยกับก้าวไกล การคาดคะเนแรงเหวี่ยงรุนแรงคงไม่น่าเกิดตามมา ทั้งนี้ประเมินจากการยุบพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ที่มีสมาชิกมากสุดถึง 14 ล้านเสียง ตามมาด้วยพรรคพลังประชาชน และล่าสุดยุบพรรคอนาคตใหม่ที่มีมวลชนมาก ก็ไม่มีปฏิกิริยารุนแรงอะไรตามมา สิ่งสำคัญ ผลสะเทือนที่น่าเป็นไปได้จะกระทบพ่วงไปยุบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ด้วย เพราะต้องเชือดกันทุกฝ่าย เป็นการสร้างความชอบธรรมกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างหนึ่ง
ส่วนเพื่อไทยรณรงค์หาเสียงเน้นแลนด์สไลด์ได้ตั้งรัฐบาลและจะเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ 3 ป.เข้าคุกให้หมดนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ดูเหมือนเป็นการพูดให้ใหญ่โตเท่านั้น แต่ถึงที่สุดไม่สามารถจัดการให้เป็นความจริงตามที่พูดอวดใหญ่ได้เลย แม้เลือกตั้งปี 2562 เคยประกาศเช่นนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายไม่เคยทำได้ ซ้ำร้ายกลับไปใช้บริการ พล.อ.ประยุทธ์ มาคุ้มครองรัฐบาลเพื่อไทยด้วยซ้ำไป จนลืมเสียงชนะของประชาชนที่มอบให้ แล้วต้องจบลที่ พล.อ.ระยุทธ์ ยึดอำนาจ ในปี 2557
“การประกาศครั้งนี้เป็นการพูดคำใหญ่ ยิ่งคนประกาศไม่มีอำนาจตัดสินใจพรรค ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคด้วยซ้ำไป การใช้คำใหญ่โตแบบนี้ ในวันที่ตัดสินใจตั้งรัฐบาลนั้น คนประกาศไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรด้วย ส่วนคนตัดสินใจไม่ได้พูดหาเสียงเลย”
อีกทั้งกล่าวว่า การประกาศเอา พล.อ.ประยุทธ์ เข้าคุก แค่ปลุกอารมณ์ขอคะแนนนิยม ขณะเดียวกันก็หลบหนีคำตอบจากคนที่มีหน้าที่โดยตรงว่า จับมือ พปชร.หรือไม่ เพราะประชาชนจะมีเส้นแบ่งบางๆ เกี่ยวกับการตัดใจในสถานการณ์จับมือกับ พปชร. อยู่แล้ว ดังนั้น คนที่มีอำนาจในพรรคต้องแถลงให้ชัดเพื่อตัดปัญหาทุกเรื่องราวให้ยุติลงได้ และประชาชนจะรู้อนาคตนำเสียงแลนด์สไลด์ไปทำอะไรหลังการเลือกตั้งสิ้นสุดลง
กรณีประกาศจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวนั้น นายจตุพร เชื่อว่า สถานการณ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อไทยไม่มีวันได้ถึง 376 เสียงตามประกาศคำคุยใหญ่เพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หากว่ากันตามทุกตรรกะแล้ว ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน โดยกรณี ทรท. เคยทำได้ถึง 377 เสียง (จากทั้งหมด 500 เสียง) ในปี 2548 นั้น เกิดขึ้นจากไม่มีพรรคแข่งขัน รวมทั้งยังควบรวมพรรคความหวังใหม่ เสรีธรรม และชาติพัฒนา พร้อมดูดเอา ส.ส.บ้านใหญ่ในพื้นที่ต่างๆ เข้ามาด้วย
“ดังนั้น การพูดคำใหญ่ เป็นการใช้รูปแบบโต้วาทีมาหักล้างประเด็นต่างๆ ที่ไม่ต้องการจะตอบคำถาม ซึ่งคนการเมืองและประชาชนฟังแล้ว จะเข้าใจว่า ใช้คำใหญ่ไว้กลบเกลื่อนอาการ หลบเลี่ยงความผิดของตัวเอง ที่สำคัญคนพูดก็ไม่ได้รับผิดชอบ เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และไม่มีสิทธิ์เป็นสมาชิกพรรคใดๆ ได้ด้วย”
นายจตุพร มั่นใจว่า ความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ระหว่างเพื่อไทยกับ พปชร.และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมถึงอดีตรัฐมนตรีที่เคยใกล้ชิดทักษิณ ชินวัตร มาก่อน จึงมีอะไรซ้อนกันไปมามากมายในทางการเมือง ยิ่งกรณีบ้านใหญ่ กลุ่มชลบุรี ซึ่งนายอิทธิพล คุณปลื้ม ยังไม่พูดเด็ดขาดกับอนาคตจะไปอยู่กับเพื่อไทยหรือ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) คงมีเพียงนายสนธยา คุณปลื้ม พี่ชายเท่านั้นออกมาปฏิเสธแทนน้องชายว่า จะมาอยู่ด้วยกันที่เพื่อไทยกันยกครัวคุณปลื้ม ไม่แตกแถว แยกทางกัน
“บ้านใหญ่มีความแข็งแรงในการบริหารจัดการคะแนนเสียง แต่มีจุดอ่อนในเรื่องอำนาจทางกฎหมาย ดังนั้น ถ้าตั้งรัฐบาลไม่ได้แล้ว จุดแข็งของบ้านใหญ่จะกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดที่จะถูก ปปง. กรมที่ดิน ปปช. คตง. และ สตง. รุมตี” พร้อมทั้งระบุว่า เมื่อบ้านใหญ่มาสังกัดเพื่อไทย ต้องสละผู้สมัครเดิมของพรรคทิ้งไปจึงเป็นการเพาะปมความเจ็บแค้นใจ แล้วจะเกิดปัญหากระหน่ำตีบ้านใหญ่ตามมาอีกด้วย
นายจตุพร สงสัยว่า ถ้าเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาล แล้วจะจัดการ พล.อ.ประยุทธ์ กับ 3 ป.ได้จริงหรือ? การพูดเอามันในการหาเสียงก็พูดได้ แต่การสลายชุมนุมปี 2553 นั้น เพื่อไทยเคยมีโอกาสจัดการ พล.องประยุทธ์ แล้วในปี 2554 แต่ไม่ทำ ทั้งที่หาเสียงสัญญาจะรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ก็ยังไม่กล้าทำ ดังนั้น การพูดเอามันเมื่อหาเสียงจะหาความจริงไม่ได้เลย
นอกจากนี้ ระบุว่า ภายใต้ รธน. 2560 กลไกองค์กรอิสระล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ มาตั้งแต่ต้น ไม่ว่า ศาล รธน. กกต. ปปช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ดังนั้น ความเป็นไปได้ในการตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเพื่อจัดการส่ง พล.อ.ประยุทธ์ เข้าคุก ได้แต่พูดเอามันช่วงการหาเสียง แต่เอาจริงกันไม่ได้
“ขณะนี้ ผมดูว่า การพูดอะไรเพื่อให้ได้คะแนนเสียงอย่างเดียวนั้น ท้ายที่สุดไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย แค่คดีตู้ห่าว เพื่อไทยกลับเงียบไม่พูดถึงให้ชัด เพราะมีสองขั้นตอนคือ เพื่อไทยอนุญาตกับการประกาศให้สัญชาติในราชกิจจานุเบกษาที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ลงนามนั้น ล้วนแต่พูดอภิปรายฯกันเท่านั้น แต่ไม่มีการดำเนินคดีตามกฎหมายใดๆ ตามมาเลย”
กรณีนอมินีถือแทนโครงการบ้านหรูและที่ดินของทุนจีนเทาและตู้ห่าว นายจตุพร กล่าวว่า ยังไม่มีการขยายผลทำกันจริงจัง ซึ่งไม่ได้มีแค่โครงการบ่้านจัดสรรหรูหมู่บ้านเดียว ยังมีอีกมากมาย ต้องดำเนินการทางกฎหมายให้เสมอภาคกัน แต่สิ่งที่รัฐบาลรีบทำกลับเป็นการเปลี่ยนแผนที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อช่วยรีสอร์ตบุกรุกป่าไม่มีความผิดและสามารถดำเนินการกิจการอยู่ได้ต่อไป
“เราจึงบอกว่าที่พูดคำใหญ่นั้น เป็นการหาเสียง ไม่ได้หาความจริงให้ประชาชน ผมเชื่อว่าประชาชนอยากเปลี่ยน พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อคุณฉุดกระชาก ลาก พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาสู้ใหม่ ทั้งที่ตายทางการเมืองไปแล้ว แต่ทักษิณ ชุบชีวิตปลุกขึ้นมาสู้ใหม่ จนกลายเป็นกระแสตัวแทนของภาคใต้ที่ประกาศหาเสียง ให้เลือกลุงตู่เพื่อหยุดทักษิณไปแล้ว” ซึ่งเป็นหารปลุกปั่นบรรยากาศความขัดแย้งในช่วงหาเสียง
อีกทั้ง ประเมินว่า การสร้างปรากฎการณ์ความขัดแย้งกันมากขึ้น อาจตามาด้วยมาตรการยุบพรรค หรือมาตรการราษฎรต่างด้าว ถ้าศาล รธน.วินิจฉัยว่า ไม่สามารถเอาต่างด้าวมานำรวมเป็นราษฎรไทยได้ การเลือกตั้งปี 2562 ต้องโมฆะ พร้อมจะส่งผลให้ ส.ส.และรัฐมนตรีที่ผ่านมา 4 ปีนั้น เสมือนไม่เคยเป็น
นายจตุพร กล่าวว่า คนต่างด้าวในทะเบียนมีทั้งหมดประมาณ 9 แสนคน หากแบ่งประชากร 1.5 แสนคนต่อหนึ่งเขตเลือกตั้ง จะกระเทือนกันอย่างยิ่ง เพราะมีผลให้เกิดการได้และเสียกับการเลือกตั้งทันที ในกรณีนี้จึงสำคัญต่อในอนาคตการเมือง หากปฏิบัติการตามแผนนี้ อาจไม่จำเป็นงัดคดียุบพรรคมาดำเนินการก็ได้
อีกอย่าง ถ้า กกต.เอาจริงตรวจสอบและจับกุมขบวนการขนคนมาฟังการหาเสียงแล้ว จะถูกดำเนินคดีกับทุกพรรค ดังนั้น กลไกรัฐจะเลือกใช้มุมไปเดินแผน เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การเมืองแบบไหน รวมทั้ง เพื่อไทยพยายามหลบหลีกจะตอบให้ชัดเจนว่า จะตัดขาดหรือไม่ตัดขาด พปชร.
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตร ในช่วง 4 ปีผ่านมา การที่เพื่อไทยลากยาวอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนไม่เหลือเวลาให้ก้าวไกลอภิปรายฯ พล.อ.ประวิตร ก็ทำมาแล้ว สิ่งนี้ย่อมพิสูจน์มิตรไมตรีทางการเมืองอันแน่นแฟ้นเหนียวหนึบกันอย่างยิ่ง
“เราจึงเห็นว่า ไว้วางใจอะไรไม่ได้เลย เหมือนการหาเสียงพูดคำใหญ่ว่า เพื่อไทยมาจับ พล.อ.ประยุทธ์ติดคุกไปทั้งแก๊ง ฟังแล้วมันในอารมณ์อย่างยิ่ง แต่ปี 2554 ชนะแล้วตั้งรัฐบาลก็ยังไม่ทำเลย แถมไปร่วมมือกับเขาเสียอีก และยังสมยอมกันจนถึงวันยึดอำนาจ”
นายจตุพร ย้ำว่า หากการหาเสียงไม่ยึดโยงความจริง แต่ต้องการเป็นแค่ชั่ววคราว แล้วย่อมได้ชัยชนะชั่วคราวกันมาตลอด จึงไม่เคยมีชนะอย่างยั่งยืน ถาวร จนส่งผลลัพธ์สุดท้ายประชาชนไม่ได้อะไรตามเคย และคนที่พูดก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีกด้วย เหมือนพูดคำใหญ่แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกอย่างอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และลูกสาวทักษิณ นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าต้องการเป็นนายกฯ ต้องกล้าเป็นตัวจริง ไม่ใช่ร่างทรงคนอื่น หรือนอมินี หรือเป็นตัวแทนให้กับใคร แต่ต้องเป็นนายกฯ ด้วยความรู้ ความสามารถ มีท่กศักยภาพในตัวเอง แล้วแสดงออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ ดังนั้น ถ้าทำแบบเดิมๆ หวังมีอำนาจเพื่อเป็นร่างทรง ตัวแทนกันอีก ที่สุดจะจบแบบเดิมและประชาชนไม่ได้อะไรจากการเป็นรัฐบาลอีกตามเคย
ประเทศไทยต้องมาก่อน