การแถลงของสตง.เกิดขึ้น โครงการซื้อเรือดำน้ำโปร่งใส การันตีศักยภาพบบริษัทเอกชนจีน หลังเรืองไกร เพื่อไทย และ ศรีสุบรรณ บุกร้อง
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แถลงผลตรวจสอบโครงการจัดหาเรือดำน้ำจีน S26 T ของกองทัพเรือ โดยระบุว่าจากการตรวจสอบพบว่า กองทัพเรือมีขั้นตอนในการเสนอจัดหาเรือดำน้ำมานานแล้วแต่ไม่ได้รับการอนุมัติ จนกระทั่งปี 2558 กองทัพเรือได้เสนอจัดหาเรือดำน้ำจีน S26T จำนวน 3 ลำ งบประมาณ 36,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ และกองทัพเรือได้มีคำของบประมาณแบบผูกพันข้ามปีต่อ ครม. จนในวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา ครม. ได้อนุมัติงบก้อนแรก 13,500 ล้านบาท ในการว่าจ้างสร้างเรือดำน้ำลำแรก โดยจะต้องจ่ายงวดแรก 700 ล้านบาท หลังเซ็นสัญญาสัญญา
พร้อมยืนยัน ว่า การใช้งบประมาณ จัดซื้อเรือดำน้ำไม่กระทบต่องบประมาณโดยรวมของประเทศ อีกทั้งขั้นตอนการเซ็นต์สัญญาไม่ใช่เป็นการลงนามในลักษณะสนธิสัญญา แต่เป็นสัญญาเชิงพาณิชย์ ซึ่งสำนักงานพระราชกฤษฎีกา ให้ความเห็นว่าไม่ได้อยู่ในข้อบังคับกฎหมายระหว่างประเทศ ตามมาตรา 178 ที่ ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา
โดย การทำสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำ จากประเทศจีน ไม่ใช่จีทูจีปลอม เหมือนโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งฝ่ายไทยมีกองทัพเรือเป็นตัวของรัฐบาล ขณะที่บริษัท CSOC ก็มีเอกสารยืนยันว่าเป็นบริษัทที่เป็นตัวแทนรัฐบาลจริง และเป็นบริษัทเดียวที่จีนอนุญาตให้เป็นผู้สร้างเรือดำน้ำ ทำให้ตัดปัญหาว่ามีคนกลางหรือไม่ เพราะเป็นการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐจริง
อย่างไรก็ตาม นายพิศิษฐ์ ยืนยันว่า สตง. ทำหน้าที่ตรวจสอบทุกโครงการอย่างตรงไปตรงมา อยู่บนข้อเท็จจริง ไม่เอาเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาเสี่ยงคุกเสี่ยงคุก ส่วนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยงานฟอกขาวให้ คสช. และรัฐบาลนั้น หากว่าจะฟอกขาวก็จะฟอกให้โครงการที่ทำถูกต้องเท่านั้น ถ้าไม่ผิดก็คือ ไม่ผิด
