นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.น่าน เผยว่า หลังจากที่ได้เห็นญัตติแทบจะไม่หวังอะไรอีกแล้ว ถ้าดูจากในญัตติล้วนมีการกล่าวอ้างว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเนื้อหาของญัตติเขียนในทำนองว่าปัญหาเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ชุมนุมล้วนๆ ไม่ใช่การบริหารงานของฝ่าย ครม. ฝ่ายรัฐบาลเลย มันเป็นการมองต่างมุมกันไปหมด เนื้อหาในญัตตินั้นดูแล้วน่าจะเป็นการฟอกขาวเสียด้วยซ้ำ
ยิ่งถ้าดูเวลาในการอภิปรายทั้งหมด 23 ชั่วโมง แต่ฝ่ายค้านได้แค่เพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น / ครม. 5 ชั่วโมง / ส.ว. 5 ชั่วโมง / ส.ส.รัฐบาล 5 ชั่วโมง ซึ่งที่จริงแล้วควรจะมุ่งไปที่ประเด็นที่ว่าปัญหาเกิดขึ้นจากตรงไหนและตัวปัญหาคืออะไร เมื่อดูมูลเหตุของปัญหาแล้วหากมองย้อนกลับไป ตัวปัญหาก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง ถ้าจะแก้ก้ต้องแก้ที่ต้นตอ นั่นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก
ด้าน น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า จะมีการประชุมในวันอาทิตย์ที่ 25 ต.ค. เพื่อเตรียมความพร้อมในประเด็นการอภิปราย โดยเป้าหมายหลักคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งมวล ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการบริหารประเทศจนประเทศเดินต่อไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในครั้งนี้จะถูกบีบด้วยเงื่อนไขของเวลา เงื่อนไขของญัตติ แต่สิ่งหนึ่งในฐานะของพรรคการเมืองฝ่ายค้านยังไงก็ตามก็ต้องร่วมกันหาทางออกในสภา ตอนนี้ประเทศเปรียบเสมือนผู้ป่วยโรคเบาหวาน ถ้าเกิดแผลลุกลามก็ต้องตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า อยากเห็นผลของการประชุม 2 วันในการเปิดประชุมวิสามัญ คือ ตั้งกรรมาธิการขึ้นมาชุดหนึ่ง ประกอบด้วยทั้งคนในคือ ส.ส.รัฐบาล ส.ส. ฝ่ายค้านสมาชิก วุฒิสภา และบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อมาหารือร่วมกัน ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการเปิดสภาสมัยวิสามัญถือเป็นเจตนาที่ดีที่รัฐบาลตั้งใจ ซึ่งทางรับบาลได้เสนอชัดเจนแล้วว่าเมื่อเปิดสภาแล้วจะได้ใช้ มาตรา 165 เพื่อนำญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป จะได้รับฟังความเห็นของสมาชิกโดยไม่ต้องลงมติ ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายนำความเห็นต่างๆไปพูดคุยกันได้และแสวงหาทางออกร่วมกันได้อย่างแท้จริง