สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน คาดหวังให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ กำกับพรรคร่วมรัฐบาลได้เพื่อสร้างความเชื่อมั่น หลังนักลงทุนต่างชาติเคยประเมินว่ารัฐบาลใหม่อาจมีอายุสั้นและขาดเสถียรภาพ ส่งผลให้เงินทุนเก็งกำไรระยะสั้นมีโอกาสไหลเข้าตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 17 พ.ค.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในประเทศที่อึมครึม ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ไทยตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ประเมินว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศน่าจะคลี่คลายในสัปดาห์หน้า หลังพรรคการเมืองจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลและเปิดประชุมรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี โดยมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำ ส่งผลให้เสถียรภาพการเมืองต่ำและรัฐบาลอาจมีระยะเวลาบริหารประเทศไม่ครบวาระ 4 ปี
จึงคาดว่าเงินทุนเก็งกำไรระยะสั้น หรือ เงินร้อนอาจไหลเข้าตลาดทุนไทยมากกว่าเม็ดเงินลงทุนทางตรงระยะยาว นายกรัฐมนตรีจึงต้องพิสูจน์ความสามารถในการกำกับพรรคร่วมรัฐบาลและเลือกบุคคลที่มีฝีมือ เป็นที่ยอมรับ เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ
“เป็นห่วงว่าถ้าอยู่ได้ไม่นาน อาจทำให้นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องมองภาพสั้นๆ มากกว่ามองระยะยาว จึงอยู่ที่รัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้” นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าว
ส่วนปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ประเมินว่า เศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ ต่างได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้าซึ่งกันและกัน อีกทั้งหากปรับขึ้นภาษีรอบใหม่อีกจะเริ่มส่งผลกระทบถึงระดับผู้บริโภค ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทางการเมือง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ในปี 2563 จึงเชื่อว่าปัญหาสงครามการค้าน่าจะคลี่คลายในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะที่นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส คาดว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลก และการเมืองในประเทศจะกดดันให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 3.4 การส่งออกขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5 และดัชนีหลักทรัพย์ทั้งปีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,705 จุด
Cr.workpointnews
สำนักข่าววิหคนิวส์