14 พ.ค.60 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากกรณีรัฐบาลอนุมัติให้จัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาทนั้น เมื่อไปตรวจสอบข้อมูลสาธารณะต่างๆ กลับพบข้อสังเกตอีกหลายประการที่ต้องขอให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบเชิงลึกต่อไป เช่น โครงการจัดหาเรือดำน้ำเป็นลักษณะจีทูจีจริงหรือไม่ อีกทั้งอัยการสูงสุดเคยตรวจร่างความตกลงที่ทำกับบริษัทที่จัดซื้อเป็นแบบความตกลงระหว่างกองทัพบกกับบริษัทผู้ขายโดยตรง ในกรณีที่กองทัพบกสั่งซื้อสะพานเครื่องหนุนมั่นมาแล้ว สำหรับโครงการสะพานเครื่องหนุนมั่นที่กองทัพบกจัดหาจากบริษัท ไชน่า ชิปบิวดิ้ง แอนด์ ออฟชอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นั้น อัยการสูงสุดยังมีข้อสังเกตอีกหลายประการ รวมทั้งการคิดเบี้ยปรับด้วย จึงควรให้ สตง.ตรวจสอบโครงการจัดหาสะพานเครื่องหนุนมั่น ด้วยว่ามีการส่งมอบสินค้าให้รัฐบาลไทยในนามกองทัพบก ครบถ้วนตามเงื่อนไขในข้อตกลงแล้วหรือไม่
“โครงการจัดหาเรือดำน้ำใช้งบประมาณของกองทัพเรือ ซึ่งถือเป็นการใช้เงินแผ่นดิน ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องดำเนินการตามวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด แต่ในงบกองทัพเรือปีงบประมาณ 2560 ที่เปิดเผยไว้มียอดรวมอยู่ทั้งสิ้น 41,115 ล้านบาท กลับไม่พบว่าส่วนใดคืองบจัดหาเรือดำน้ำ แหล่งเงินที่ใช้จัดหาเรือดำน้ำมาจากที่ใด และจำนวนเงินที่ตั้งงบผูกพันไว้แต่ละปีมีจำนวนเท่าใด รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาดแล้วหรือไม่” นายเรืองไกร กล่าวและว่า ตนจะไปยื่นหนังสือถึง สตง.ให้ตรวจสอบเชิงลึกในโครงการเรือดำน้ำต่อไป ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ เวลา 10.00 น.ที่สำนักงาน สตง.
ก่อนหน้านี้ทางกองทัพเรือได้ร้องขอให้ สตง.ทำการตรวจสอบการซื้อเรือดำน้ำ ปรากฎว่าทางสตง.ได้อนุมัติ และยืนยันว่าสามารถลงนามสัญญาได้ ซึ่งการเดิ่งทางไปร้องเรียนครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นการทำเพื่อหวังผลทางการเมือง ก่อนจะมีการแถลงผลงาน 3 ปี ของ คสช. ซึ่งก่อนหน้านั้น เพื่อไทยได้แถลงโจมตีการบริหารงานของคสช.ในเชิงลบ
ทีมข่าวการเมือง สำนักข่าว vihok news รายงาน