10 เม.ย. 2565 – นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในงานรำลึก 12 ปี10 เมษายน 2553 เปิดเผยว่า วันนี้รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนสภาเปิด ปัญหาคือฝ่ายค้านอย่าผิดสัญญา ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 23 พ.ค. เพราะแน่นอนที่สุดถ้ายื่นไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถยุบสภาได้ แต่ถ้ายืดไปเดือน ส.ค. สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนอีก อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง ยิ่งกลัวยิ่งไม่มีการเลือกตั้ง
วันนี้ถ้าคิดเพียงแค่เรื่องการเมือง เชื่อว่าชนะการเลือกตั้งแล้วปกครองประเทศนี้ได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีความซ่อนเงื่อนมาก มี ส.ว. องค์กรอิสระอย่างครบถ้วน แต่ยังคิดแค่เรื่องตัวเลขกันอยู่ คิดว่าการเลือกตั้งจะได้เปรียบเรื่องบัตร 2 ใบ แต่ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93 มาตรา 94 เรื่องผู้แทนพึงมี ท้ายที่สุดบัตร 2 ใบจะเท่ากับบัตรใบเดียว นั่นคือเอาคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ บวกพื้นที่ ไม่หารด้วย 100 ตามที่พูด แต่จะหารด้วย 500 จากคะแนนผู้แทนประมาณ 7 หมื่นก็จะตกอยู่ที่ 1.55 แสน
นายจตุพร กล่าวว่า เราสู้วันนี้ก็ไม่ได้สู้เพื่อจะล้มลุกคลุกคลานอยู่ตลอดชีวิต บอกเสมอว่าเราสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เลือกตั้งก็ชนะมาตลอดอยู่แล้ว แต่ปกครองแผ่นดินนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 เรื่องของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องขี้ประติ๋วมาก พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะนับวัน หรือจะนับเดือนก็ตาม และไม่ใช่เป็นคำสาปอย่างไรก็ตามพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีวันอยู่ครบ 8 ปี เหตุผลนั้นพล.อ.ประยุทธ์รู้แก่ใจมากที่สุดว่าท้ายที่สุดนั้นการเมืองภายใต้ผลประโยชน์ที่เอื้อต่อทุนจนประเทศอยู่ในสภาพที่ยากลำบากที่สุดเป็นปัจจัยภายในที่เลวร้ายที่สุด ตนจึงบอกว่าครบ 12 ปีนั้น เราเป็นเหตุการณ์ที่มีคนตายมากที่สุดในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เรายังไม่มีอนุสาวรีย์ เราไม่มีการชำระประวัติศาสตร์และเราไม่มีความยุติธรรมใน 12 ปีนี้ สิ่งที่เรามีความวาดหวังก็คือว่าประเทศควรจะเดินได้ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ชนะแต่ปกครองไม่ได้ และแก้ไขความฟอนเฟะของประเทศไม่ได้
“ผมอยู่บนท้องถนนมาชั่วชีวิต อยู่ในรัฐสภาช่วงเวลาไม่นาน เข้าใจชีวิตบนท้องถนน ชีวิตแห่งการต่อสู้ บอกเสมอว่านักต่อสู้เหมือนวัสดุสิ้นเปลือง เราเป็นพวกที่ทำใจว่าใช้แล้วทิ้ง ดังนั้นเส้นทางทางการเมืองผมแทบเป็นศูนย์อยู่แล้ว ถูกตัดสิทธิ์ 10 ปีคดีต่อเป็นหางว่าว เรื่องสนามทางการเมือง ถือว่าผมปิดประตู เส้นทางในคดีแพ่งปลายทางก็หนีการล้มละลายไปไม่พ้น เรื่องคุกก็รอวันข้างหน้าอีกหลายครั้ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือขบวนการของพี่น้องประชาชน เป็นมิตรกับขบวนการประชาธิปไตยทั้งหลาย จึงเรียกร้องว่าจงคิดให้ไกลๆ เหมือนที่เคยจัดรายการมองไกล แต่คิดเพียงใกล้ๆ คิดว่าการเลือกตั้งจะชนะเขาก็ไปแก้กติกาใหม่ ได้ 2 ใบ เขาก็รู้ว่า 100 หารแพ้ เอา 500 หาร ซึ่งก็เท่ากับปี 2562 จะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์สักคนอีก ดังนั้นผมจึงบอกกับพี่น้องว่าสิ่งสำคัญที่สุดเวลานี้เอาเรื่องบ้านเมืองให้ใหญ่กว่าการเมือง ถ้าเอาการเมือง เอานักเลือกตั้งมาเป็นตัวตั้งเราก็จะแพ้ตลอดไป ผมไม่ได้หายไปไหน แต่คิดอยู่ว่าจะออกมาเมื่อไหร่ บัดนี้พร้อมแล้ว และพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้ประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลงตามความฝันตามเจตนารมณ์ของวีรชนไม่ว่าจะในเหตุการณ์ใด