“ชิงชัย มงคลธรรม” หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ขอรัฐบาล คสช.เร่งพยุงปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเร่งด่วน ชี้ปากท้องคนจนเป็นเรื่องสำคัญ ยอมรับประชาชนมีเพียงพอกิน แต่ปัจจุบันดำรงชีพด้วยความยากลำบาก และให้เร่งคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน เตือนระวังคนลุกฮือเพราะปัญหาความยากจน
แนวหน้า – 17 ธ.ค.60 ที่ จ.กาฬสินธุ์ นายชิงชัย มงคลธรรม หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เปิดเผยเป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจเมื่อปี 57 และบริหารประเทศภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการกำกับดูแลของ คสช.ซึ่งเกือบ 3 ปีที่นายชิงชัย เก็บตัวเงียบและยุติการวิจารณ์ทางการเมือง แต่การออกมาพูดคุยครั้งนี้ นายชิงชัยให้เหตุผลถึงปัญหาภาวะเศรษฐกิจในเรื่องของปากท้องเป็นสำคัญ เพราะกำลังกระทบโดยตรงต่อประชาชนทั่งประเทศ และได้เตือนให้รัฐบาลระวังกระแสการต่อต้านของกลุ่มคน เพราะเชื่อว่าปัจจุบันรัฐบาลกำลังผิดพลาด บริหารจนเกิดความล้มเหลว ทั้งที่มีอำนาจในการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่
นายชิงชัย กล่าวว่า เรื่องสำคัญที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งแก้ไขนั่นคือ ปัญหาเรื่องของปากท้องความเดือดร้อนของประชาชน และการจัดการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย เพราะเหตุแห่งการยึดอำนาจนั่นคือ ปัญหาทางการเมือง ซึ่งการยึดอำนาจเมื่อปี 57 ในครั้งนั้น ยอมรับว่าไม่มีประชาชนออกมาต่อต้าน เพราะเชื่อมั่นว่า คสช.จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ต้องยอมรับว่าประชาชนทั่วประเทศได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งที่เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ประชาชนกลับไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยขาดสภาพคล่อง ผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิดตกต่ำ ไม่ว่าจะเป็นยางพารา หรือแม้กระทั่งข้าว ที่ควรจะสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศได้
“ตนขอบอกว่าวันนี้ประชาชนในทุกครัวเรือนนั้นมีข้าวกินพอเพียง อย่างภาคอีสาน มีปลาร้า มีข้าวก็อยู่ได้ แต่ในข้อเท็จจริงประชาชนไม่มีเงิน ตกอยู่ในภาวะเป็นหนี้เป็นสิน และนับวันจะทวีความรุนแรง เพราะทุกคนอยู่ภายใต้อำนาจของ คสช.ที่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาล จึงยอมอยู่อย่างสงบนิ่ง แต่เมื่อคนไม่มีเงินใช้ รัฐบาลก็ต้องระวังปัญหาการลุกฮือของคนจน”
หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ กล่าวต่อไปว่า ในการคืนอำนาจประชาธิปไตยนั้นยิ่งหลงทาง เพราะการยึดอำนาจเป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้ประเทศชาติเกิดประชาธิปไตย แต่มาในวันนี้สิ่งที่เห็นกลายเป็นการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการทำงานของรัฐบาลทั่วไป แต่สิ่งที่ต่างกันไปนั่นก็คืออำนาจในการกำหนดกฎหมายหรือร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากระบบเผด็จการทางการเมืองที่ยังคงแฝงตัวอยู่ในปัจจุบัน
“ตนมองว่าวันนี้คือโอกาส เพราะรัฐบาลมีดาบในมือที่ดีอยู่แล้ว ก่อนที่จะดำเนินการหรือตัดสินใจทำอะไรควรที่จะทบทวนให้รอบครอบ เพราะหากไม่รู้ก็ควรที่จะปรึกษา เพราะการเรียนรู้ในเรื่องของประชาธิปไตยหรือประชาชนนั้นเป็นการเรียนที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกับการบริหารนั่นก็คือประชาชนจะต้องได้รับโอกาสได้รับสวัสดิการในด้านต่างๆ ที่ดี ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับเจตนาและการลงมือปฏิบัติ โดยเฉพาะการมาประกาศให้ จ.กาฬสินธุ์ เป็นพื้นที่การแก้ไขปัญหาความยากจนก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในขณะที่ข้อเท็จจริงประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมก็ยังไม่ได้รับเงินชดเชย ประชาชนจึงมองในเรื่องของเจตนาที่ต้องรีบทำ เพราะหากไม่ทำก็จะทำให้ประชาชนที่รักรัฐบาลเสียใจได้”
สำนักข่าววิหคนิวส์