นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส. และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก หัวข้อ “กฎแห่งอำนาจ” โดยระบุว่า ในทางการเมือง มีคำพูดที่ต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า
“ไม่มีอำนาจการเมืองใดที่คงอยู่ตลอดกาล”
แต่การเมืองไทย ด้วยความกลัวของผู้มีอำนาจ จึงพยายามฝืนสัจธรรมความเป็นจริงทุกวิถีทาง
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา
อลเวงกับสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ เดี๋ยวเอาหาร 100 แล้วเปลี่ยนไปเป็นหาร 500 พอเห็นท่าไม่ดี ยังคิดจะพลิกกลับไปเป็นหาร 100 อีก
และยังกลับไปกลับมาได้อีกหลายตลบ ตามใบสั่งผู้มีอำนาจ
เอาตามที่สบายใจ ไม่ได้ใยดีประชาชน
สาเหตุมาจากความกลัวขี้หดตดหาย ว่าจะสูญเสียอำนาจที่เสวยสุขมานาน กระแสเบื่อมาแรง
ไม่ว่าหารแบบไหนล้วนเข้าทางฝ่ายตรงข้าม “รัฐบาล 3 ป.”
ยังไม่พอ คิดเปลี่ยนสูตร รื้อรัฐธรรมนูญเพื่อกลับไปใช้ “บัตรใบเดียว” ตามเดิมอีก เพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่า เสือกเอาหอกไปยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามทิ่มตัวเองด้วย “บัตรสองใบ”
อำนาจที่มีมาอย่างยาวนาน และความย่ามใจทำอะไรก็ได้ จะสั่งให้หันซ้าย หันขวา ก็ทำได้หมด ใช้อิทธิพลทั้งทางตรง และทางอ้อม (กล้วยยัดปาก)
อาการลนลานกลัวไม่ได้กลับสภาสมัยหน้าของเหล่า ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ กับแกนนำรัฐบาล หารือกันหน้าดำคร่ำเครียด จนไม่ว่าสูตรไหนก็ดูไม่ลงตัว
สร้างความสับสนให้รัฐธรรมนูญ “ฉบับมั่วของพวกเรา” มีการคำนวณสูตรพิสดาร บัตรเขย่ง ส.ส. ปัดเศษ เอาพวก “ลิเกลิง” เข้าร้องเจี๊ยวจ๊าวเต็มสภา พากันกินแต่กล้วยที่ผู้มีอำนาจยัดปิดปากให้โหวตซ้ายขวาได้ตามใบสั่ง
ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แถมชื่ออยู่พรรคหนึ่งแต่ตัวไปอยู่อีกพรรค ดูสับสนวุ่นวาย จนชาวบ้านเอือมระอาด่ากันขรม จำไม่ได้ว่าอยู่พรรคไหน ฝั่งไหน?
แต่แลกมากับการได้ครองอำนาจต่อ ย่อมคุ้มค่า ติดใจหลงหัวปักหัวปำกับบารมีที่มีมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง
ไม่ได้ปฏิรูปบ้าบออะไรสำเร็จสักเสี้ยวกระผีก ตามแผนล้ำลึกแหกตาชาวบ้านของ “ลุงกำนัน”
กระแสยี้ เบื่อสุดๆ กับ 3 ป. ที่ทำท่าทีเล่นการเมืองแบบ “ตกปลาในอ่างหลังบ้าน”
นับไปนับมา อำนาจวนเวียนกันแค่ 3 ป. ตามระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ
ป. 1 ทำท่าทางรังเกียจนักการเมือง ทำตัวเหมือน “พระมาโปรดสัตว์”
ป. 2 ลีลานักการเมืองอาชีพยังอาย เป็นเสมือน “ผู้มากบารมี พี่นี้มีแต่ให้” คนแย่งกันเข้าบ้าน เฝ้ากันข้ามคืน เป็นผู้อาวุโสคุมเกมการเมือง แต่ปากบอก “ไม่รู้ ไม่เกี่ยว”
ป. 3 เป็นเหมือนมันสมอง ลุ่มลึก เงียบกริบ แต่คมกริ๊บ พูดน้อย ต่อยหนัก
ทั้ง 3 ป. ผลัดกันเล่นมุข เดี๋ยวรุก เดี๋ยวรับ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวโกรธ ทำท่าระหองระแหง แล้วกอดกัน
ไม่ว่าเกมเปลี่ยนอย่างไร แต่ผู้เล่นยังมีแค่ 3 ป. เหมือนเดิม ตั้งแต่ยึดอำนาจมา จนแปรสภาพตกผลึกมา 8 ปี คุมองคาพยพทั้งการเมือง ข้าราชการ กองทัพ นายทุน องค์กรกลางทั้งหลาย ไปจนถึงสภาล่าง สภาบน ด้วยอำนาจของ “ผลไม้เครือหวี”
แผนสุดท้ายยังแตกแบงค์พัน จัดตั้งสารพัดพรรค พาเหรดเปิดตัวแผนสำรอง เผื่อดันพรรคพลังประชารัฐไปไม่ไหว
ส่วนพวกเห็นช่องทางก็ร่วมผสมโรง แห่กันเปิดพรรคเหมือนเปิดร้านเซเว่น
เปิดกันทุกวันจนชาวบ้านจำชื่อพรรคไม่ได้
นี่คือผลของกระบวนการบิดเบี้ยวเพื่อสืบทอดอำนาจที่ผ่านมา
ไม่ว่าใครจะแก้เกมด้วยท่าไหน ทำปู้ยี่ปู้ยำกับรัฐธรรมนูญยังไง แหกตากันกลางสภา เล่นลิเกโหวตสวนขู่ แล้วไปกราบตีนหวังจะเปลี่ยนกฎปรับ ครม. ก่อนเลือกตั้ง
ก็มิอาจสะเทือนซาง 3 ป. ได้
ลิเกแห่งอำนาจยังคงดำเนินต่อไปไม่เปลี่ยน
แต่ผมก็ยังเชื่อในกฎการเมืองที่ว่าไว้
“ไม่มีอำนาจใดคงทนอยู่ถาวร หากหมดสิ้นศรัทธาประชาชน”