ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการระบุ แนวร่วมฝ่ายค้านซึ่งนำโดยนายมหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 92 ปี ชนะการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ยุติการปกครองประเทศมานาน 6 ทศวรรษของแนวร่วมรัฐบาล ‘บีเอ็น’
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ผลการเลือกตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แสดงให้เห็นว่า แนวร่วมฝ่ายค้าน ‘ปากาตัน ฮาราปัน’ (Pakatan Harapan – PH) หรือ ‘แนวร่วมแห่งความหวัง’ และพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งในรัฐซาบาห์บนเกาะบอร์เนียวที่เป็นพันธมิตรกัน คว้าที่นั่งไปได้ 121 ที่นั่ง เกินกว่าที่นั่งที่จำเป็นต้องได้ 112 ที่นั่งในรัฐสภาเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
ขณะที่พรรคแนวร่วมรัฐบาล ‘บีเอ็น’ ได้เพียง 79 ที่นั่งเท่านั้น ลดลงเกือบจากที่เคยมีทั้งหมด 133 ที่นั่ง
นายมหาเธร์ ซึ่งจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุมากที่สุดในโลก ได้พักการเกษียณ เพื่อเข้ามาชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายนาจิบ ราซัค รักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งพัวพันกับการทุจริตขนาดใหญ่ในกองทุน 1 Malaysian Development Berhad หรือ 1MDB
“เราไม่ได้จะหาทางแก้แค้น เราต้องการฟื้นฟูหลักนิติธรรม” มหาเธร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะที่เขาประกาศชัยชนะ และบอกด้วยว่า ในวันพฤหัสบดี (10 พ.ค.) จะมีพิธีสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่ง
ล่าสุดวันนี้ นายนาจิบได้กล่าวยอมรับมติของประชาชน และปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยยืนยันว่าไม่มีการโกงเลือกตั้งเกิดขึ้นในส่วนของพรรคแนวร่วมรัฐบาล ‘บีเอ็น’
อย่างไรก็ตาม นายนาจิบกล่าวว่า เมื่อไม่มีพรรคใดได้ที่นั่งส่วน.หญ่ของสภาฯ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับสมเด็จพระราชาธิบดีมูฮัมมัดที่ 5 ประมุขแห่งรัฐมาเลเซีย ว่าจะทรงตัดสินพระทัยให้ใครจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไป นอกจากนี้นายนาจิบยังมีท่าทีตั้งคำถามต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของพันธมิตรฝ่ายค้านที่ประกอบด้วย 5 พรรคการเมือง
ผลการนับคะแนนเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงแล้วทั้ง 222 ที่นั่ง เว็บไซต์มาเลเซียกินี รายงานว่า แนวร่วมฝ่ายค้านนำแนวร่วมรัฐบาลอยู่ 122:79 ที่นั่ง ขณะที่พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย หรือพาส (Parti Islam SeMalaysia หรือ PAS) ได้ไป 18 ที่นั่ง ส่วนที่เหลือเป็นที่นั่งของพรรคขนาดเล็กอื่น ๆ
บีเอ็น เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งนี้มากกว่าที่เคยเผชิญ ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนเกี่ยวกับค่าครองชีพ และเรื่องอื้อฉาวกองทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของนายนาจิบ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2015
รอยเตอร์รายงานว่าผลการสำรวจความคิดเห็นในวันก่อนวันเลือกตั้ง พบว่า การสนับสนุนแนวร่วมรัฐบาลลดลง และแนวร่วมของมหาเธร์จะได้คะแนนเสียงมากกว่า
ภายใต้ระบบเลือกตั้งของมาเลเซียในปัจจุบัน พรรคหรือแนวร่วมที่ได้ที่นั่งข้างมากในสภาจะเป็นฝ่ายชนะ
ด้านฝ่ายค้าน อ้างว่า การแข่งขันไม่ยุติธรรม เพราะมีการปรับเขตเลือกตั้งใหม่ และจัดเลือกตั้งช่วงกลางสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้ผู้คนหลายล้านอาจไม่ไปลงคะแนน ขณะที่ กกต. และรัฐบาลปฏิเสธข้อกล่าวหา
นายมหาเธร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยส่วนสำคัญของแนวร่วมรัฐบาล และเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่นายนาจิบ ได้ถอนตัวออกมาจากแนวร่วมในปี 2016 และปัจจุบันเป็นผู้นำแนวร่วมฝ่ายค้าน ‘ปากาตัน ฮาราปัน’
ในช่วงที่เขาถอนตัว เขาได้ประกาศว่าเขารู้สึก “อับอาย” ที่จะข้องเกี่ยวกับพรรค “ที่ถูกมองว่าสนับสนุนการทุจริต”
นายนาจิบ เองก็พัวพันกับเรื่องอื้อฉาว ซึ่งเขาถูกกล่าวหาว่านำเงินจากองทุน 1MDB ของรัฐบาลเข้ากระเป๋าตัวเอง 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 22,400 ล้านบาท แต่เจ้าตัวปฏิเสธ
ขณะนี้หลายประเทศกำลังสอบสวนกองทุนนี้อยู่ และนายนาจิบ ก็ถูกกล่าวหาว่า ขัดขวางการสอบสวนของทางการมาเลเซีย ด้วยการปลดเจ้าหน้าที่ทางการตำแหน่งสำคัญ
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด ระหว่างนายมหาเธร์ อดีตนายกรัฐมนตรี วัย 92 ปี ซึ่งเป็น “ครูทางการเมือง” ของนายนาจิบวัย 64 ปี และผลที่ออกมาก็ยากจะคาดเดาได้
หากแนวร่วมฝ่ายค้านภายใต้การนำของนายมหาเธร์ชนะการเลือกตั้ง จะถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับมาเลเซีย ซึ่งปกครองโดยแนวร่วมรัฐบาล ‘บีเอ็น’ มายาวนานถึง 61 ปีนับจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ
นอกจากนี้นายนาจิบกับนายมหาเธร์แล้ว ยังมีผู้ท้าชิงอีกคนที่สื่อต่างประเทศไม่ค่อยพูดถึงนักคือ นายอับดุล ฮาดี อาวัง วัย 70 ปี ประธานพรรคพาส
เมื่อดูกำลังหนุนจากสภาท้องถิ่นแล้ว พรรครัฐบาลของนายนาจิบควบคุมสภา 10 จาก 13 รัฐ ส่วนพรรคฝ่ายค้านปีกของนายมหาเธร์ คุมปีนัง กับเซลังงอร์ ขณะที่พาสคุมสภาในกลันตัน
การเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้ง 8,898 แห่งทั่วประเทศ ดำเนินไปจนถึงเวลา 17.00 น. (16.00 น. ตามเวลาไทย) ซึ่งเป็นเวลาปิดหีบ
การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้น หลังนายนาจิบประกาศยุบสภาเมื่อ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้านว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่บริสุทธิ์และยุติธรรม เนื่องจาก กกต. มาเลเซียซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ได้กำหนดเขตเลือกตั้ง และกำหนดจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในแต่ละเขต แบบเอื้อประโยชน์ให้แนวร่วมรัฐบาลบีเอ็น ซึ่งมีพรรคสหมาเลย์แห่งชาติ (อัมโน) ของนายนาจิบเป็นแกนนำ ทว่านายนาจิบยืนยันว่า กกต. “ทำเพื่อประโยชน์ของทุกคน”
ทั้งนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 21-39 ปี ถือเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ โดยคิดเป็น 41% แต่พวกเขาไม่กระตือรือร้นในการไปใช้สิทธิมากนั้น ส่วนหนึ่งมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่ “ไม่มีทางเลือก” ขณะที่บางส่วนรณรงค์ให้ประชาชนไป “เลือกตั้งโดยยุทธศาสตร์” กล่าวคือ เทคะแนนให้นายมหาเธร์เพื่อปฏิเสธการหวนคืนเก้าอี้นายกฯ สมัยที่สามของนายนาจิบ ผู้เผชิญเรื่องอื้อฉาว
ขอบคุณข้อมูลภาพประกอบ BBC
สำนักข่าววิหคนิวส์