อดีตประธานรัฐสภาเรียกร้องทุกฝ่ายปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “หมอวรงค์” ชี้ “ปิยบุตร” เก็บอาการไม่อยู่ อยากหาทางลง ลั่นต้องขจัดนักการเมืองชั่ว พวกที่จ้องทำร้ายประเทศ “นิพิฏฐ์” ค้านเลิก ม.112 เผยทุกประเทศเขามีกฎหมายพิเศษคุ้มครองประมุขทั้งสิ้น
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Arthit Ourairat ระบุว่า ขอโปรดส่งให้เพื่อนสมาชิกทุกห้องของท่าน ที่มีความคิดเห็นร่วมกัน ที่ทุกคนที่เป็นคนไทย เห็นสมควรที่จะหยุดสร้างความแตกแยก หยุดทำร้ายสังคมไทย หยุดทำลายบ้านเกิด ควรร่วมปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ขอให้ทุกฝ่ายมีความรักสามัคคีกัน
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom โดยมีรายละเอียดว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ออกมาขู่อีกแล้วครับ เปรียบเทียบปฏิรูปกับปฏิวัติ แสดงว่าถ้าไม่ยอมปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ก็จะปฏิวัติ ทั้งๆ ที่ยังนึกไม่ออกว่าสถาบันฯ สร้างปัญหาอะไรให้ประเทศ ที่คุณคิดแต่จะล้มล้าง
“สิ่งที่ปิยบุตรขู่ออกมา แสดงว่าเก็บอาการไม่อยู่ คงอยากหาทางลง เราต้องอดทนที่จะต้องทำการเมืองสะอาด ขจัดนักการเมืองชั่ว พวกที่จ้องทำร้ายประเทศ หลอกลูกหลานประชาชนมาบังหน้า แต่ตัวเองนอนอยู่บ้าน ปั่นคีย์บอร์ด และไม่เคยทำประโยชน์ใดๆ”
นพ.วรงค์ระบุว่า เก็บอาการไม่อยู่ ขู่ออกมาแบบนี้ แสดงว่าใกล้จบละครับ พวกเราต้องตั้งหลักกันให้ดีๆ #การเมืองสะอาดขจัดนักการเมืองชั่ว
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายปิยบุตรระบุว่าประชาชนที่ออกมาปกป้องสถาบันฯ ถูกจัดตั้งหรือเกณฑ์มาว่า นับวันนายปิยบุตรจะไม่เห็นหัวประชาชน ทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของประเทศ กล้าที่จะดูถูกดูแคลนประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ
“อยากบอกคุณปิยบุตรว่า ประชาชนทั่วประเทศรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต ไม่มีใครถูกเกณฑ์หรือจัดตั้งมา แต่มาด้วยหัวใจที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ คุณปิยบุตรคงกู่ไม่กลับแล้ว แทนที่จะช่วยกันคิดปฏิรูปประเทศ แต่กลับจะปฏิรูปสถาบัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย มีแต่สถาบันจะสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้กับประชาชนมาตลอด”
นายธนกรกล่าวอีกว่า พอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอให้ม็อบคณะราษฎร 63 ถอยคนละก้าว และเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อนำปัญหามาแก้ในสภา นายปิยบุตรกลับมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยถอย แต่รุกคืบแดนประชาธิปไตย วันๆ ใช้แต่โวหารหลอกลวงไปเรื่อยๆ พล.อ.ประยุทธ์พยายามประคับประคองให้ประเทศเดินหน้าไปให้ได้ด้วยความสงบสุข ไม่อยากเห็นประชาชนขัดแย้งกันเอง มองนักศึกษาเหมือนลูกหลาน การใช้เวทีรัฐสภาแก้ปัญหาให้ประชาชน ซึ่งตอนนายปิยบุตรเป็น ส.ส. ก็เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา แต่มาตอนนี้กลับบอกว่าอาจมี ส.ส.ฝั่งรัฐบาลและ ส.ว. ใช้เวทีถล่มนักศึกษา เป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ อยากให้นายปิยบุตรช่วยกันแก้ปัญหาอย่างสันติ อย่าพยายามยุยงปลุกปั่น ประเทศเสียหายมามากแล้ว หยุดเคลื่อนไหวปฏิรูปสถาบันทันทีก่อนที่จะสายเกินไป
กฎหมายคุ้มครองประมุข
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “จะยกเลิกความผิดต่อพระมหากษัตริย์หรือ?” เนื้อหาระบุว่า บางคนพูดว่าขอให้ยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ จึงขอให้เรามีความรู้พื้นฐานตรงกันอย่างนี้ก่อน คือ
1.ทุกประเทศเขามีกฎหมายพิเศษคุ้มครองประมุขทั้งสิ้น เราก็มีกฎหมายคุ้มครองประมุขเหมือนกับประเทศอื่น
2.อย่าว่าแต่ประมุขของเราเองเลย แม้แต่ประมุขของต่างชาติ กฎหมายไทยก็ให้ความคุ้มครองเป็นพิเศษ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ในหมวดว่าด้วย “ความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ” มาตรา 133 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” จะเห็นว่า แม้ประมุขของต่างประเทศ กฎหมายไทยก็ยังคุ้มครองเขา แล้วนับประสาอะไรที่เราจะไม่คุ้มครองประมุขของเราล่ะครับ การมีกฎหมายคุ้มครองประมุข จึงเป็นหลักการพื้นฐานของทุกประเทศ
3.ผมไม่ปฏิเสธความคิดในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายเหล่านี้ เช่น ทบทวนว่าโทษสูงเกินไปหรือเปล่า การสืบสวน สอบสวน การสั่งฟ้อง ควรมีกระบวนการแตกต่างจากความผิดทั่วไปหรือไม่ แต่การแสดงความเห็นในเรื่องเหล่านี้ต้องทำอย่างสุจริต, ละเว้นการการแสดงความเห็นที่เป็นการหมิ่นประมาทฯ ต้องรู้ว่า สิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าปฏิรูป
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีข้อเรียกร้องของกลุ่มคณะราษฎรว่า รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงก็จะเข้าไปดู แต่หลักใหญ่ที่เราเคยพูดกันไว้ก็คือ รัฐบาลไม่ประสงค์จะใช้ความรุนแรงใดๆ เพราะฉะนั้นถ้าทุกฝ่ายมีเป้าหมายตรงกันว่าต้องการยึดแนวทางสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง ทุกอย่างก็น่าจะผ่านพ้นไปได้ และถ้ามีประเด็นไหนค้างคา ก็สามารถที่จะพูดจากันเพื่อที่จะหาทางออกร่วมกัน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคและประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้เชิญ ส.ส.ของพรรคประชุมเป็นกรณีพิเศษในวันอาทิตย์ที่ 25 ต.ค. เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมตามที่รัฐบาลขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ม.165 โดยไม่มีการลงมติ โดยจะมีการกำหนดบุคคลที่จะร่วมอภิปรายในวาระที่สำคัญนี้ตามเวลาที่ได้มีการจัดสรรไปตามสัดส่วน ให้ทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้าน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล คณะรัฐมนตรี และ ส.ว.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ จะเน้นอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ แบบมีวุฒิภาวะ ด้วยเนื้อหาสาระที่จะช่วยกันร่วมมือแสวงหาทางออกจากปัญหาต่างๆ ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ตามจุดยืนของพรรค 3 ประการ คือ 1.ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2.การแก้ปัญหาควรใช้แนวทางสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม 3.ใช้รัฐสภาเป็นเวทีหาทางออกของประเทศ
ใช้พลังบริสุทธิ์ทางสร้างสรรค์
วันเดียวกันนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าว ทักทายให้กำลังใจกับแกนนำองค์กรนักศึกษา ตัวแทนของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ระหว่างเปิดเวทีสัมมนาขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันที่เชียงใหม่ว่า การแสดงออกทางการเมืองที่ดี ห้ามละเมิดสิทธิมนุษยชน ก้าวล่วงสิทธิ์ของคนอื่น คัดค้านการแอบแฝงซ่อนเร้นตามที่แถลงการณ์ก่อนหน้า เพราะยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากมายที่จะนำไปพัฒนาชีวิตและสังคม หากมุ่งแต่ใช้ความรุนแรง แต่ละฝ่ายอ้างสถาบันหรือหลักคิดของตนเพื่อเอาชนะกัน ใช้ความรุนแรงจนมีเหตุสูญเสีย สุดท้ายประเทศก็บอบช้ำไม่มีใครได้ประโยชน์
“เยาวชน ผู้ใหญ่ หรือทุกคนในสังคมต่างมีความสำคัญกับประเทศ เราต่างไม่ต้องการเห็นชาติบ้านเมืองต้องเสียหาย เสียโอกาส ในฐานะที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาก่อน ก็อยากเห็นลูกหลานมีอนาคต และใช้พลังบริสุทธิ์ในทางสร้างสรรค์” มท.1 กล่าว
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้รับข้อมูลจากประชาชนส่งมาให้หลังมีการแพร่หลายในโลกโซเชียลมีการโจมตีว่าร้าย พล.อ.ประยุทธ์ ว่า 10 เหตุผลที่ไม่ควรเป็นข้ออ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ซึ่งตนได้อ่านทั้ง 10 ข้อหมดแล้วล้วนแต่เป็นข้อมูลเท็จทั้งสิ้น ให้ร้ายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการชุมนุม มีการปลุกม็อบเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศชาติ
เขาบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องชี้แจงให้ประชาชน สังคมได้เข้าใจ พร้อมอธิบายถึง 10 ข้อ ที่มีข้อความ ไอลอว์ได้ทำโปสเตอร์เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียว่า ตนจึงอยากชี้แจงว่าไม่ใช่เรื่องจริง และใช้จิตวิทยาการเมืองจนสร้างความวุ่นวาย สร้างความขัดแย้งทางความคิด เพราะได้รับข้อมูลเท็จ ดังนี้
ข้อ 1 บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยลงรับสมัครเลือกตั้งเอง และไม่มีคุณสมบัติ แต่ความจริงแล้วมีชื่อเป็นนายกฯ ในบัญชีจากพรรค พปชร. ซึ่งพรรคได้ลงรับสมัครการเลือกตั้งเหมือนกับพรรคการเมืองอื่น เช่น พรรคอนาคตใหม่ที่เสนอชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เช่นกัน
2.อ้างว่าประยุทธ์ถืออำนาจเต็ม คสช. ช่วงระหว่างการเลือกตั้ง โดยในอดีตรัฐบาล ปี 2557 ที่มีการประกาศยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ ขณะนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ รักษาการ มีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ส่วนในปี 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ก็ประกาศยุบสภาในวันที่ 10 พ.ค.54 แต่ทำหน้าที่รักษาการ แต่สุดท้ายเลือกตั้งแพ้พรรคเพื่อไทย ดังนั้น การเป็นนายกฯ มีอำนาจเต็มเพื่อรักษาการไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าประชาชนจะเลือกหรือสนับสนุน
3.การเลือกตั้งที่ผ่านมา คสช. เขียนกติกาให้ตัวเองได้เปรียบ ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จที่ไม่น่าเชื่อว่ามาจากคนรุ่นใหม่ และใช้วาทกรรมใส่ร้ายป้ายสีให้เกิดความเกลียดชัง ไม่ทราบว่าหวังผลอะไรหรือไม่ โดยการเลือกตั้งครั้งดังกล่าว ทุกพรรคการเมืองทราบว่าอยู่ในกติกาเดียวกันภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านประชามติจากคนไทยทั้งประเทศ 16.8 ล้านคน และมองว่า พปชร.ได้เปรียบนั้นเป็นเรื่องเท็จ เพราะพรรคที่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 คือพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปแล้ว ส่วนพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.มากที่สุด คือพรรคเพื่อไทย แต่ทั้ง 2 พรรคที่กล่าวมามีคะแนนเสียงจากประชาชนเลือกน้อยกว่าพรรค พปชร. ที่ได้คะแนน 8.4 ล้านคน
ชู 3 นิ้ว I LOVE YOU
4.การเลือกตั้งที่ผ่านมา กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นของ คสช. ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะทั้งสององค์กรเป็นหน่วยงานอิสระ ไม่มีใครเข้าไปแทรกแซงได้ คงจำกันได้ว่าเมื่อครั้งการเลือกตั้งที่ จ.สมุทรปราการ ซึ่งทางนายกรุงศรีวิไล ส.ส.พรรค พปชร. ก็ถูกใบเหลืองเช่นกัน จึงเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นมา
5.การเลือกตั้งครั้งล่าสุด มีพรรคการเมืองไม่เอา คสช. แถมเจอปิดกั้นสารพัดวิธีก็เป็นเรื่องเท็จ เพราะการเลือกตั้งดังกล่าว พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.มากที่สุด แต่ได้คะแนนน้อยกว่า พปชร. ประมาณ 5 แสนคะแนน ส่วนพรรคอนาคตใหม่ก็ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากที่สุด ทั้งๆ ที่เสียงจากประชาชนน้อยกว่า พปชร. ร่วมล้านกว่าเสียง
6.การเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเป็นอันดับสองถูกยุบ คือ พรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้ลงรับสมัครเลือกตั้งเลยไม่มีคะแนน ฉะนั้นจึงเป็นข้อมูลเท็จ และหน่วยงานของรัฐควรนำหลักฐานนี้ไปแจ้งความกับคนปล่อยข่าว โดยพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศคงทราบดีว่าเกิดจากอะไรที่กระทำอันมิบังควร
7.ผลการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.มากที่สุด แต่ได้คะแนนจากเสียงของประชาชนทั้งประเทศน้อยกว่า พปชร. แปลว่าพรรคเพื่อไทยได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้มากกว่า
8.สำหรับผลการเลือกตั้งมีการประกาศว่าพรรคการเมืองที่ไม่สนับสนุน คสช. มีจำนวนสูงกว่าสองเท่า ตนไม่ทราบว่าบวกคะแนนกันอย่างไรถึงมากกว่า ทั้งๆ ที่พรรค พปชร. ได้ 8.4 ล้านเสียง แต่พรรคเพื่อไทยได้ 7.8 ล้านคะแนน ดังนั้นจึงต้องบอกน้องๆ
9.ผลการเลือกตั้งฝั่งไม่เอา คสช. อ้างว่ามีการรวมเสียงเกินครึ่งสภาก่อน ตนแปลกใจว่ามีการวมมาจากตรงไหน และการนับคะแนนยังถือไม่เสร็จสิ้น ยังไม่ได้ประกาศจาก กกต.ที่ชัดเจน แล้วคนที่ไปยืนถ่ายรูปกันก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจจัดตั้งรัฐบาลได้เลย เป็นเพียงละครฉากหนึ่งเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มม็อบเอง
และข้อ 10 หากไม่มี ส.ว. 250 จะจูงพรรคอื่นเข้าร่วมไม่ได้ ตนคิดว่าถ้าหากจำกันครั้งใช้สถานที่ทีโอที ซึ่งเป็นรัฐสภาชั่วคราวในการเลือกนายกรัฐมนตรี ฝั่งเลือก พล.อ.ประยุทธ์มีจำนวน ส.ส. เลือกเกินกึ่งหนึ่งโดยไม่ต้องใช้ ส.ว.เลย และการกล่าวอ้างของข้อมูลที่กระจายอยู่ในโซเชียลเป็นข้อมูลเท็จ การพูดเช่นนี้เป็นการให้ร้ายรัฐบาล
สุดท้ายนี้ รัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหา มีการจัดตั้งเปิดวิสามัญในวันที่ 26-27 ต.ค. โดยให้ ส.ส., ส.ว. และรัฐบาล หารือร่วมกัน มีพรรคฝ่ายค้านเข้าร่วม เชื่อว่ากลไกรัฐสภาแก้ปัญหาทางการเมืองได้ และอย่าให้ข้อมูลเท็จมาสร้างความแตกแยกกัน ที่ผ่านมาบ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว ขอให้ทุกคนชู 3 นิ้วแบบ I LOVE YOU แบบรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะถือเป็นจารีตประเพณีของไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
ย้อนรอย 6 ตุลา 19
ขณะที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อ้างว่าสาเหตุความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ ที่บริหารงานผิดพลาด จนทำให้กลุ่มนักเรียนและเยาวชนออกมาประท้วงขับไล่ ทั้งนี้ ย้ำว่าการชุมนุมเป็นสิทธิ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่แกนนำการชุมนุมต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการชุมนุมนั้นๆ เป็นหลัก หากปล่อยปละละเลยให้การชุมนุมยกระดับนำไปสู่ความรุนแรง แกนนำการชุมนุมต้องรับผิดชอบ เพราะการชุมนุมตามกฎหมายต้องปราศจากอาวุธและไม่ใช้ความรุนแรง
นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่า การแบ่งเวลาอภิปรายให้พรรคร่วมฝ่ายค้านเพียง 8 ชั่วโมง ขณะที่รัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว. ได้เวลารวม 15 ชั่วโมงนั้น ตนเกรงว่ารัฐบาลอาจจะใช้เวทีนี้เพื่อแก้ตัว เติมเชื้อไฟ ปลุกคนอีกกลุ่มขึ้นมา และอาจจะเป็นการพยายามขุดหลุมของฝ่ายรัฐบาลด้วยซ้ำ จากท่าทีการแสดงออกของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เห็นว่าจะรับข้อเสนอของผู้ชุมนุม และตั้งใจแก้ไขปัญหาเชิงลึกที่แท้จริง ตนจึงเกรงว่าการพูดคุยรอบนี้จะไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหา อีกทั้งเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็เห็นว่ากำลังจะย้อนรอยเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า หากที่ประชุมรัฐสภามีความเห็นร่วมกันให้มีกลไกเพื่อทางออกร่วมกัน ก็อยากให้เปลี่ยนรูปแบบจากการตั้งคณะกรรมาธิการ ปรับรูปแบบเพื่อเปิดกว้าง เป็นการตั้งคณะกรรมการที่มี 5 ฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย ครม. พรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน ส.ว. และบุคคลภายนอกที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นวิธีที่ยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องยึดระบบสัดส่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าร่วมอีก
นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยของรัฐสภาในระหว่างการประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาวันที่ 26-27 ต.ค.ว่า คงไม่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเข้มข้นเข้มงวดเหมือนกับค่ายทหารจนประชาชนไม่สามารถเข้ามาได้ เพียงแต่มาตรการรักษาความปลอดภัยอาจจะเข้มข้นมากกว่าปกติเท่านั้นเอง สำหรับการรักษาความปลอดภัยภายนอกนั้น เป็นเรื่องของหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งอาจจะมีการจัดกำลังตำรวจมาที่รัฐสภา แต่ไม่เกี่ยวกับสภา เพียงแต่ได้ขอร้องว่าให้แจ้งให้สภาได้รับทราบด้วย ขณะที่มาตราการสำหรับกรณีที่ต้องอพยพต่างๆ นั้น ฝ่ายความมั่นคงก็มีการวางมาตรการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางบกและทางน้ำ