เรื่องฮอต ประเด็นฮิต » ดร.อาทิตย์ ชี้ไทยเข้าสู่แดนสนธยา แต่ไม่มีทางตัน

ดร.อาทิตย์ ชี้ไทยเข้าสู่แดนสนธยา แต่ไม่มีทางตัน

14 October 2019
2343   0

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต อดีตประฐานรัฐสภา ได้โพสข้อความระบุว่า แดนสนธยา ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่เป็นที่ยอมรับ

ฝ่ายค้านก็ไม่เป็นที่ยอมรับ ฝ่ายรัฐประหารก็ไม่เป็นที่ยอมรับ แล้วจะมีทางออกอย่างไร

แต่ประเทศชาติไม่มีวันถึงทางตัน “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีฉันท์ใด กรุงเทพมหานครก็ไม่ถึงทางตันฉันท์นั้น”

สหรัฐอเมริกา มี ประธานาธิบดี เป็นประมุข

จีน มีประธานาธิบดี เป็นประมุข

อังกฤษ มีกษัตริย์ เป็นประมุข

ญี่ปุ่น มี จักรพรรดิ์ เป็นประมุข

บรูไน มี พระราชาธิบดีเป็นประมุข

ภูฏาน มีพระราชาธิบดีเป็นประมุข

ไทย ก็มีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข

ประมุขของทุกประเทศมีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ดูแลความสงบเรียบร้อย ทุกข์สุขของประชาชน และแก้ใขปัญหาวิกฤติต่างๆของชาติ ด้วยกันทั้งสิ้น

แล้วทำไม ไทยจึงบอกว่า ประมุขไม่ต้องยุ่งเกี่ยว อย่าให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ทั้งที่ ประมุขของทุกชาติต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชน หรือเพราะนักรัฐประหาร และนักการเมืองพยายามกีดกันมิให้ประมุขเข้ามาเกี่ยวข้องดูแลประชาชน จำกัดพระราชอำนาจเพื่อพวกตนจะได้เสวยสุขกันอย่างเต็มที่ โดยไม่มีผู้ใดมาควบคุมดูแลได้ อย่างนั้นหรือ

ประมุขต้องมีอำนาจปกครองบริหารประเทศชาติ ดูแลทุกข์สุขของประชาชน

ถ้าไม่มีอำนาจ ก็ไม่ใช่ประมุข

เพราะอย่างนี้ บ้านเมืองจึงได้ยุ่งเหยิงตลอดมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างนักรัฐประหาร และนักการเมือง จนหาทางออกไม่ได้ โดยกีดกันขัดขวางมิให้ประมุข ผู้ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติเข้ามามีบทบาท อำนาจในการปกครองบริหารประเทศเหมือนชาติอื่น

ระบอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอารยธรรมไทย คือ ระบอบสังคมธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยวิถีราชประชาสมาสัย ที่พระมหากษัตริย์จะร่วมมือกับประชาชนปกครองดูแลประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแท้จริง

หากเกิดการล่มสลายขึ้นในสภา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมและไม่สามารถไปต่อได้แล้ว ก็จำต้องลาออก แต่แทนที่จะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายค้านมีแนวโน้มว่าจะชนะการเลือกตั้ง และฝ่ายรัฐบาลก็จะต้องล่มสลาย แต่ความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมืองจะยังคงดำรงอยู่ และจะเพิ่มกำลังสูงขึ้น ฝ่ายค้านจะรุกหนักยิ่งขึ้นทั้งในเรื่องการแก้ใขรัฐธรรมนูญและทำลายรากฐานของฝ่ายรัฐบาล

ฝ่ายทหารก็จะออกมาแสดงบทบาทกำราบฝ่ายค้านรุนแรงก้าวร้าวแข็งกร้าวมากขึ้น ทำให้บ้านเมืองตึงเครียดขึ้นไปอีก และย่อมกระทบกระเทือนต่อสถาบัน ต่อรัฐ และระบอบการปกครองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่า ฝ่ายค้านหรือประชาชนกำลังต่อสู้กับสถาบัน โดยมีฝ่ายทหารเป็นผู้ปกป้อง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ฝ่ายทหารคณะราษฎรและต่อๆมาเป็นฝ่ายช่วงชิงอำนาจมาจากสถาบัน และ

มาปกครองบ้านเมือง

ประชาชนไม่ต้องการให้ทหารเข้ามาปกครองบ้านเมือง แต่ต้องการให้เป็นผู้ป้องกันและรักษาความมั่นคงของประเทศ

ไม่เข้ามายุ่งกับการบริหารบ้านเมือง แต่ ทหารแสดงตัวว่าป้องกันสถาบันจากประชาชน และเข้ามาควบคุมอำนาจในการปกครองเสียเอง จึงทำให้สถาบันดูเสมือนเป็นคนละพวกหรือฝ่ายตรงกันข้ามกับประชาชน

ซึ่งไม่ใช่เลย

ในทางตรงกันข้าม สถาบันต้องเข้ามาเพื่อปกป้องดูแลประเทศชาติและประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ อธิปไตยเป็นของประชาชน แต่ประชาชนได้มอบอำนาจอธิปไตยให้พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุข ใช้อำนาจอธิปไตยผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ตำรวจ และฝ่ายตุลาการ ทั้งนี้โดยสถาบันร่วมมือ ปรึกษาหารือกับประชาชน หาแนวทางบริหารจัดการชาติบ้านเมืองและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้อยู่ดีมีสุขขึ้น โดยให้ รัฐบาล ข้าราชการทหาร ตำรวจและพลเรือนทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติงานสนองและรับใช้ประเทศชาติและประชาชน

ไม่ใช่ เป็นนายประชาชน

ระบอบการปกครองอย่างนี้เรียกว่า ระบอบสังคมธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยวิถีราชประชาสมาสัย

ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่

โดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจที่ได้รับมอบจากประชาชน ดูแลประชาชนผ่านกลไกฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจและพลเรือน

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของชาติ

# มิใช่เจว็จ#

ดังนั้น ต้องมีอำนาจในฐานะประมุขของชาติเช่นเดียวกับชาติอื่น

ประเทศชาติจะเป็น Smart Country ประชาชนต้องเป็น Smart Citizen

ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรือง ต้องเกิดจากความร่วมรักสามัคคี ช่วยกันคิด ช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ

หากเรามัวใช้สติปัญญาและพลกำลังทั้งหลาย ที่มีอยู่ มามุ่งทำลายล้าง ด่าทอซึ่งกันและกัน แน่นอนเหลือเกิน ว่านอกจากจะไม่ได้เห็น แดนศิวิไลซ์ที่เราใฝ่ฝันหาแล้ว

ความล่มสลาย คงจะชัดเจนอยู่ในเบื้องหน้า อย่างแน่นอน