ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ด้านการเมืองและการปกครอง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า
ความขัดแย้งทางการเมืองที่จนถึงขณะนี้ผลสรุปของคณะกรรมการการเลือกตั้งได้สรุปผลการนับคะแนนมาเป็นที่เรียบร้อยถึง 100% ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีพรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้งแต่จนถึงขณะนี้ก็ไม่สามารถในการจัดตั้งรัฐบาลได้เพราะมีเสียงสนับสนุนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แต่แม้จะเกินกึ่งหนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงมากพอตามรัฐธรรมนูญคือ 376 เสียงขึ้นไปที่จะโหวดใครเป็นนายกรัฐมนตรี
หากมองในเชิงบริบททางการเมืองแบบปกติยกตัวอย่าง 9 ประการก็จะเห็นว่าลุงตู่ได้อยู่ต่อหลังเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1 .พรรคเพื่อไทย รวมเสียงพรรคร่วมไม่ได้-ลุงตู่อยู่ต่อ
2.พรรคเพื่อไทยรวม ส.ส. ได้ แต่ ส.ว. (250คน) เห็นแย้ง คะแนนไม่ได้กึ่งหนึ่ง(376 เสียง รวม ส.ว.) – ลุงตู่อยู่ต่อ
3.พรรคพลังประชารัฐ รวมเสียงได้มากกว่าพรรคเพื่อไทย -ลุงตู่อยู่ต่อ
4.กกต. ให้ใบเหลือง +ใบแดง ส.ส. ทำให้ ส.ส. เขต ไม่ถึง 95% เปิดสภาไม่ได้ – ลุงตู่อยู่ต่อ
5.มีการร้องเรียนเยอะ จน กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไม่ได้ – ลุงตู่อยู่ต่อ
6.คนร้อง ปปช./ศาลรัฐธรรมนูญ ว่า กกต. จัดเลือกตั้งไม่โปร่งใส ปปช. ชี้มูล หรือศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัย กกต. รับรองผลเลือกตั้งไม่ได้ – ลุงตู่อยู่ต่อ
7.เลือกตั้งใหม่ – ลุงตู่อยู่ต่อ
8.เกิดจราจล ระหว่างยังไม่ประกาศรับรอง ผลเลือกตั้ง คสช. อาจใช้ ม.44 ควบคุม – ลุงตู่อยู่ต่อ
9.กกต.ลาออก(เกิดสุญญากาศ)ลุงตู่อยู่ต่อ
แม้จะสรุปเบื้องต้นว่าลุงตู่อยู่ต่อ ตามหลักคิดเหล่านี้ แต่จะเกิดปัญหาความไม่พึงพอใจผลการเลือกตั้ง ดั้งเคยเกิดมาก่อนในยุคสมัย จอมพล ป. พิบูลณ์สงคราม มนการเลือกตั้งสกปรก 26 กุมภาพันธ์ 2500 จนส่งผลทำให้ถูกรัฐประหารจากจอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ และต้องไปจบชีวิตในบั้นปลายที่ ประเทศญี่ปุ่นบนโต๊ะอาหารของตัวเองซึ่งถูกมองว่าเป็นการถูกวางยาจนกระทั่งเสียชีวิต ที่สุดท้ายปรับมายังประเทศไทยเพียงเถ้ากระดูกเท่าเท่านั้น
หรืออาจคล้ายคลึงเหตุการพฤษภาทมิฬ ในสมัย พลเอกสุจินดา คราประยูร หรือเหตุการณ์สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร ที่โดนประชาชนขับไล่ออกนอกประเทศ โดยทั้งสามเหตุการณ์มีต้นเหตุมาจากการสืบทอดอำนาจและ คนใกล้ชิดต้องการอยู่ในอำนาจให้ยาวนานที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาโดยใช้เราบรรดาผู้นำเป็นเครื่องมือทางการเมือง
หากลุงตู่อยู่ต่อปัญหาเศรษฐกิจ ก็จะไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะการใช้ประชานิยมอย่างมหาศาลทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเข้ามาทำการลงทุนภายในประเทศ ประกอบกับสถานการณ์ของสภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่สภาวะตึงเครียด ตกต่ำ จากสงครามทางการค้า ย่อมส่งผลทำให้ประเทศ เสียหายอย่างหนัก
ที่สำคัญความงามสง่าในงานพระบรมราชาภิเษก ในช่วงรัฐบาลรัฐประหาร ที่จะจัดได้เพียงครั้งเดียวในแต่ละรัชสมัย หากปล่อยสถานการณ์บ้านเมืองเดินต่อไปย่อมเกิดความวุ่นวายเกิดการต่อต้าน ความรุนแรงย่อมเกิดขึ้น จนกระทบต่องานพระราขพิธี ต่างชาติก็จะมาแทรกแซง กิจการภายในของไทย เพราะไทยมีแหล่งพลังงานน้ำมันขนาดใหญ่ ของเอเซีย
ดังเวเนซูเอลากำลังเผชิญที่ สหภาพยุโรปและประเทศลาตินอเมริการ่วม 50 ประเทศ มีการรับรองให้ ฮวน กวยโด เป็นรักษาการประธานาธิบดี และไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งให้นิโครัส มาดูโร เป็นประธานาธิบดี ในปัจจุบัน จนประเทศล้มสลายทางเศรษฐกิจเพราะประชานิยม ประชาชนต้องอดอยากและต้องหลบหนีออกนอกประเทศไปมากกว่า 8,000,000 คนเกิดการแย่งแบ่งแยกอำนาจจนประเทศขาดเสถียรภาพในการปกครองโดยมีเป้าหมายหลักคืออำนาจและแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่
หาก พ้น 31 มีนาคม 2562 ลุงตู่เสียสละ ยึดประโยชน์ของชาติ ก็จะยุติปัญหา ความขัดแย้ง การชงักงันทางการเมือง( political deadlock) ที่กำลังเกิดขึ้นภายในประเทศไทย ทำให้ลุงกลายเป็นตำนาน ดังพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ยอมเสียสละไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ แท้มีผู้เชิญกลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีอีก
หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี และกลับมาเป็นประธานองคมนตรีอีกครั้งในรัชสมัยปัจจุบัน“ตำแหน่งอยู่ได้ไม่นาน แต่ตำนานจะอยู่ตลอดไป”
อันจะทำให้ประเทศจะเดินหน้าจัดงานพระบรมพระราชพิเษกอย่างงามสง่า ยิ่งใหญ่ ที่ทุกพวก ทุกฝ่าย ทุกพรรค จะมาร่วมงาน และร่วมปฏิรูปประเทศ ต่างชาติหยุดแทรกแซง เกิดสันติสุข มุ่งสู่แดนซิวิไลซ์ในที่สุด
“ ฟ้าครามครื่นคลืนฝน จนแผ่นดินต้องสั่นไหว ฟ้าสีทองผ่องอำไพ สันติสุขจะมีชัยในแผ่นดิน “
ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
29 มีนาคม 2562