เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2565 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ทราบข่าวว่านายไตรรงค์ สุวรรณคีรี จะมาสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค รทสช. ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 27 ธันวาคม แต่เพราะยังไม่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัว จึงไม่สามารถยืนยันว่าใช่วันดังกล่าวหรือไม่ เช่นเดียวกับการสมัครเป็นสมาชิกพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ไม่ได้มีกำหนดระยะเวลาการสมัคร แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมหลายด้านประกอบกัน จึงไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่ชัดได้ ต้องหารือกันอีกครั้ง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีภารกิจมาก
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาระบุว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติก่อนที่พรรคจะมีมติ อาจเข้าลักษณะคนนอกครอบงำพรรคการเมือง นายพีระพันธุ์ ตอบว่า เป็นการให้ความเห็นด้วยความหวังดี แต่ขอยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงหรือครอบงำพรรคแต่อย่างใด สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดออกไป เป็นผลจากการหารือร่วมกันในช่วงเช้าวันที่ 23 ธ.ค.กับตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคเท่านั้น จึงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิดแต่อย่างใด
“ขอย้ำอีกครั้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายหรือสั่งการอะไรให้พรรคต้องทำตาม ทุกอย่างเป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมาย และจากที่ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ประสงค์จะเข้ารับตำแหน่งใดๆ ในพรรคทั้งสิ้น เพราะเห็นว่าที่ทำกันไว้ดีอยู่แล้ว”
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการตั้งซูเปอร์บอร์ดรองรับตำแหน่งในพรรคของพล.อ.ประยุทธ์ และผู้ที่จะติดตามมานั้น หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติตอบว่า ที่เรียกกันแบบนั้นก็ไม่ได้อยากจะไปค้านอะไร เพราะไม่ได้เสียหาย แต่ตามกฎหมายมีคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ครบแล้ว เพราะเดินงานพรรคมาหลายเดือน หากมีการเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ทันต่อระยะเวลาที่ต้องไปเตรียมการเรื่องอื่น และพรรคไม่ได้มีปัญหาโครงสร้างคณะกรรมการบริหาร ขออย่าคิดกันไปเอง และส่วนตัวมองว่าเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาทำงานกับพรรค ก็ต้องให้เกียรติท่านในฐานะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ และมีคุณภาพ จะให้มาอยู่ในพรรคโดยไม่มีตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม จึงกำลังพิจารณาเรื่องนี้กันอยู่
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าจะมี ส.ส.จำนวนหนึ่งตาม พล.อ.ประยุทธ์มาเข้าสังกัดพรรคอีก 40 คน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งจะประกาศเจตนารมณ์เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครติดต่อมาพูดคุยกับตนว่าประสงค์จะเข้ามาสังกัดพรรคเลย
ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์กรณี พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเข้าร่วมพรรค ทำให้มีนักการเมืองจำนวนมากไหลเข้าสู่พรรค จะจัดสรรอย่างไรว่า ไม่เป็นปัญหา ปกติพรรคตั้งใหม่สิ่งที่น่ากลัวคือคนไม่มา มาเยอะไม่เป็นไร มีวิธีจัดการให้ทุกคนมีบทบาทในพื้นที่ได้แน่นอน มามากขนาดไหนรับได้แน่นอน และที่ผ่านมามีการพูดคุยกับ ส.ส.บิ๊กเนมแต่ละพื้นที่มาจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ชัดเจน จะมีคนไหลเข้ามาจำนวนหนึ่ง และตามข่าวที่มีการพูดกันว่าจะมีส.ส.เข้ามาร่วมประมาณ 40 คน ซึ่งคิดว่าไม่ได้คลาดเคลื่อนมาก แต่อาจจะมากขึ้นก็ได้ อีกทั้งยังมีบิ๊กเนมที่ไม่ได้เป็น ส.ส. เช่นนายก อบจ. หรือนักการเมืองท้องถิ่นที่มีแสงในตัวในจังหวัดต่างๆ ซึ่งมีโอกาสดีกว่า ส.ส.ปัจจุบันเสียอีก ซึ่งจำนวนมีเกิน 100 คน ขณะนี้เรามีผู้สมัครที่สู้ได้ในทุกภาค
จะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด
“มีคนเคยถามว่าจะได้ ส.ส.เกิน 25 เสียงหรือไม่ ผมยืนยันว่าเกินแน่นอน เพราะจากผลสำรวจแค่ภาคเดียวก็เกินแล้ว ใจผมหากได้แตะ 100 ก็เป็นเรื่องดีจะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด จะได้มีกำลังผลักดันสิ่งที่เราบอกประชาชนไว้ และสิ่งสำคัญกว่าการเป็นพรรคใหญ่คือ มาแล้วต้องทำประโยชน์ให้ประเทศ เป็นสถาบันการเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ แบบนั้นเราก็ไม่เอา”
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าหลังการเลือกตั้งจะได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นายเอกนัฏกล่าวว่า การจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องดูผลการเลือกตั้งก่อน แต่ถ้าวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นหลัง พล.อ.ประยุทธ์ประกาศตัวชัดเจนและดูว่าที่ผู้สมัครทั่วประเทศ ถ้าทุกอย่างเป็นตามที่คาดการณ์ เราจะได้ ส.ส.ไม่น้อย มีโอกาสร่วมกับพรรคการเมืองอื่นจัดตั้งรัฐบาลได้
ถามว่า การเป็นนายกฯ ได้แค่อีก 2 ปี จะมีปัญหาในการหาเสียงหรือไม่ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติตอบว่าไม่เป็นปัญหาเลย คนดี 1 ปี 2 ปี มีค่าเท่ากัน และถ้าดูตามหลักวิทยาศาสตร์คำนวณแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะเหลือเกินเวลา 2 ปีครึ่ง น่าจะเกินค่าเฉลี่ยรัฐบาลที่ผ่านๆ มาของประเทศแล้ว
ซักว่าหลังเลือกตั้งรวมไทยสร้างชาติกับพลังประชารัฐจะจับมือร่วมกันทำงานได้หรือไม่ นายเอกนัฏกล่าวว่า ยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร เวลานี้แต่ละพรรคต้องเร่งแสดงจุดยืนของตัวเองแล้วไปแข่งขันในสนามเลือกตั้ง ได้ ส.ส.เท่าไหร่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาล ว่าจำนวนเป็นอย่างไร จุดยืนตรงกันหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องว่าหลังเลือกตั้ง
เมื่อถามย้ำว่า ไม่ปิดทางร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคอื่นๆ ใช่หรือไม่ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติตอบว่า “มันจะไปปิดทางในเร็ววันแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่อยากพูดไป เดี๋ยวหาว่าเราปฏิเสธคนนั้นคนนี้ วนเวียนอยู่กับความขัดแย้งอีก วันนี้เราต้องเดินไปข้างหน้า”
ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค และนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันนำ “จุรินทร์ ออนทัวร์” เดินทางไปจังหวัดสกลนคร เพื่อเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดสกลนคร โดยมีประชาชน จ.สกลนคร มารอผูกผ้าขาวม้าและมอบพวงมาลัยดอกไม้
‘สุรนันทน์‘โบกมือลา
นายจุรินทร์กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้งเที่ยวหน้า ชาวสกลนครคงจะให้โอกาสกับประชาธิปัตย์อีกคำรบหนึ่ง หากจะถามว่าประชาธิปัตย์เอาอะไรมาขายกับคนสกลนครในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง คำตอบสั้นๆ ก็คือ ประชาธิปัตย์ขายความเป็นประชาธิปัตย์ ขายนโยบาย ขายผลงานให้พี่น้องชาวสกลนครอยู่ดีกินดีต่อไปในอนาคต ที่สำคัญก็คือขายผู้สมัครที่ประชาธิปัตย์คัดสรรบุคคลที่มีศักยภาพและมีความรู้ความสามารถที่จะไปทำหน้าที่เป็นปากเสียงแทนคนสกลนครได้ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ได้ยื่นใบลาออกจากพรรคสร้างอนาคตไทยแล้ว โดยระบุว่า “ผมขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค, รองหัวหน้าพรรค และประธานภาคกรุงเทพฯ, คณะกรรมการคัดสรรผู้สมัครรับเลือกตั้ง และสมาชิกพรรค เนื่องจากต้องใช้เวลาในการดูแลคุณแม่ซึ่งมีอายุ มากแล้ว ผมขอขอบคุณหัวหน้าฯ ที่ให้ความไว้วางใจผมมาจนถึงทุกวันนี้”
ขณะที่นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ให้สัมภาษณ์ว่า นายสุรนันทน์ได้คุยกับตนไว้นานแล้วว่าอยากจะขอออกไปดูแลคุณแม่ซึ่งมีอายุมาก 85 ปีแล้ว จึงอยากจะใช้เวลาดูแลคุณแม่มากขึ้น เพราะนายสุรนันทน์ก็เป็นลูกชายคนเดียว อย่างไรก็ตาม การที่นายสุรนันทน์ได้ร่วมทำงานกับพรรคมาก็ถือว่ามีผลงานที่ดี มีการจัดทัพได้ระดับหนึ่ง ทางพรรคสามารถที่จะสานงานต่อได้ โดยใน กทม.ตนจะเข้าไปดูแลแทนเอง โดยอาจจะมีทีมเข้ามาช่วยดูเพิ่มเติม ตอนนี้ทุกคนใน กทม.ก็ยังอยู่กันเหมือนเดิม ยอมรับว่าอาจจะมีการตกใจกันบ้าง แต่ทุกคนไม่ได้เสียกำลังใจ ยังเดินหน้าทำงานต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม วันจันทร์ที่ 26 ธ.ค.นี้ ตนจะมีการประชุมกับทีม กทม. ในการที่จะเดินหน้าทำงานต่อทันที เพราะได้มีการวางแผนกันไว้หมดแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงข่าวการควบรวมพรรค นายอุตตมกล่าวว่า ยอมรับว่ามีการพูดคุยเรื่องนี้ มีคนมาคุยกับเรามากกว่า 1 ราย ซึ่งจะมีแนวโน้มจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการเจรจา และเจรจากับใคร ถ้าเจรจาจบก็จะมีการแถลงแน่นอน ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้น ต้องรอดูก่อน เพราะบางทีก็ขึ้นอยู่กับไทมิงด้วย เมื่อถามว่าการเจรจาควบรวมพรรคจนถึงขณะนี้เป็นไปด้วยดีใช่หรือไม่ นายอุตตมกล่าวว่า ถ้าถามตน ตนก็ต้องบอกว่าดี ซึ่งเราก็ต้องร่วมกันพิจารณาด้วยความรอบคอบ แต่ยืนยันว่าโอกาสมีแน่นอน
เมื่อถามถึงการส่งผู้สมัคร มีความชัดเจนหรือยังว่าจะส่งกี่เขต หัวหน้าพรรคสอท.กล่าวว่า ตอนนี้กำลังมาไล่ดูกันทุกภาคว่าจะส่งเขตไหนบ้าง เพราะยังมีมาสมัครอยู่เรื่อยๆ
เพื่อไทยผวา‘บิ๊กตู่‘เอาเปรียบ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า เมื่อประกาศแบบนี้ ก็เป็นสิทธิ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ควรจะเล่นการเมืองแบบเปิดเผย ไม่ใช่ว่าถึงนาทีสุดท้ายก็ยังไม่แน่นอน เหมือนการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา ประชาชนจะได้ตัดสินว่าในอนาคตจะให้การสนับสนุนใคร
เมื่อถามว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศตัวแบบนี้ ความได้เปรียบเสียเปรียบจะกระทบกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เลขาฯ เพื่อไทยกล่าวว่า ไม่กระทบ เพราะวันนี้ประชาชนรู้ดีว่า 8 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ทำงานเป็นอย่างไร ประชาชนรู้หมดแล้ว ฉะนั้นเวลาอีก 2-3 เดือนที่เหลือในการทำงานต่อ ไม่เกิดประโยชน์อะไร
“ขออย่างเดียว อย่าใช้สถานะความเป็นนายกฯ ก็ดี หรือความเป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่ตัวเองจะเข้าไปสังกัดก็ดี ทำประโยชน์จนเกิดความไม่เป็นธรรมต่อพรรคอื่น หรือเอาเปรียบพรรคอื่น โดยเฉพาะต้องปฏิบัติตามระเบียบ กกต.”
ถามว่ามันเป็นเส้นบางๆ ที่แบ่งอยู่ จะแยกออกอย่างไร เลขาฯ เพื่อไทยกล่าวว่า เรามองออก ถ้าเราพบว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลก็จะดำเนินการ เช่น อาจยื่นต่อ กกต. ที่มีกฎอยู่แล้วว่าอะไรทำได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าคนที่เป็นนายกฯ หรือนักการเมือง จะทำได้ทุกอย่าง ขอให้เล่นตามกติกา เมื่อเข้าสู่สนามการเมืองเต็มรูปแบบ ต้องรักษามารยาททางการเมือง
นายประเสริฐกล่าวด้วยว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ตั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นที่เลขาธิการนายกฯ ทั้งที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง มันดูแปลกๆ อยู่ โดยปกติเขามักจะไม่ค่อยทำกัน ส่วนมากคนที่เป็นเลขาฯ นายกฯ จะต้องมาจากพรรคที่นายกฯ สังกัดอยู่เท่านั้น แต่ครั้งนี้นายกฯ ยังไม่ทันสังกัดเลย และ พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นนายกฯ ในนามของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้เป็นนายกฯ ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ถ้าตั้งคนของพรรคพลังประชารัฐ ตนว่าไม่แปลก ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ไม่ชอบมาพากล และไม่เหมาะสม
เมื่อถามว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ จะเป็นการสกัดกั้นแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เชื่อว่าประชาชนอยากได้ของขวัญปีใหม่ในปี 2566 อยากได้นโยบายใหม่ๆ อยากได้ผู้นำประเทศใหม่ๆ ตนคิดว่า 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์พอแล้ว.