ในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้มีเรื่องประหลาดพิกลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดความสงสัยโดยทั่วไปว่าเรื่องราวประหลาดพิกลเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นแต่กลับเกิดขึ้น บางเรื่องจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยพลัน แต่ก็ไม่ดำเนินการ บางเรื่องไม่ควรทำกลับทำ ทั้งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ประชาชนจำนวนมาก
ก็ต้องบอกให้เป็นข้อสังเกตโดยทั่วไปว่า นานาวิกาลและความวิปริตอาเพศทั้งหมดนั้นเป็นผลมีต้นเหตุสำคัญคือ ประเทศไทยไม่มีเอกราชทางการเงิน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเราเป็นประเทศราชทางการเงินของต่างชาติ
เราเป็นประเทศราชทางการเงินของชาติไหนเล่า? ก็ต้องไปดูว่าประเทศไทยเป็นหนี้สินชาติไหนมากที่สุด ไม่ต้องไปค้นหาให้ยากลำบาก ให้ไปดูเอกสารงบประมาณที่รัฐบาลนำเสนอต่อรัฐสภาก็จะระบุชัดเจนว่าในจำนวนหนี้สินต่างประเทศทั้งหมดของประเทศไทยนั้นเป็นหนี้ชาติใด ชาตินั้นแหละเป็นเจ้าประเทศราชทางการเงินของประเทศไทย
ในเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานชัดเจนว่า ประเทศไทยเป็นประเทศราชของเจ้าประเทศราชทางการเงินเพียงชาติเดียว เพราะหนี้สินต่างประเทศเกือบทั้งหมด ประเทศไทยเป็นหนี้ต่อประเทศเดียว ทำให้เห็นได้ว่ามีขบวนการขายชาติที่จงใจทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศราชทางการเงินต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งกลายเป็นประเทศราชอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นเมื่อเป็นประเทศราชทางการเงินของต่างชาติแล้วก็จะต้องผูกพันด้วยข้อตกลงต่าง ๆ ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย ให้ต้องประพฤติปฏิบัติตามที่เจ้าประเทศราชต้องการ ไม่ว่าสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัตินั้นจะสอดคล้องกับความต้องการหรือขัดกับความปรารถนาของประชาชนอย่างไรก็ตาม
นี่แหละคือที่มาของเรื่องอุบาทว์จัญไรทั้งหลายที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ต่อเนื่องมาเป็นเวลานานแล้ว และยังหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ และถ้าหากไม่แก้ไขให้ทันท่วงที ในที่สุดก็จะถึงกาลสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินเป็นแน่แท้
ประเทศไทยเคยเป็นหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศเพียงไม่กี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ก็ถูกออกข้อกำหนดที่สร้างความพินาศฉิบหายให้กับคนไทยและประเทศไทยจำนวนมหาศาล เหตุการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 และความพินาศของประเทศชาติและภาคธุรกิจไทยหลายล้านล้านบาทเกินกว่าจำนวนหนี้ที่กู้จากไอเอ็มเอฟมากมายนัก
มาตรการทั้งหลายที่ออกมาในขณะนั้นถูกประชาชาติไทยประณามประจานว่าเป็นการกระทำที่ขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นประชาชน นั่นเป็นเรื่องของการก่อหนี้สินเพียงไม่กี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
แม้จะเป็นเรื่องโหดร้ายทารุณที่กระทำต่อประเทศชาติและราษฎรสักเท่าใด ก็ยังเบากว่าการเป็นประเทศราชทางการเงินมากมายนัก เพราะแม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของไอเอ็มเอฟโหดเหี้ยมอำมหิตก็ตาม แต่ก็มีการเปิดเผยให้รู้กันทั่วกันว่าในการกู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟนั้น ประเทศไทยต้องรับข้อกำหนดอะไรบ้าง ดังนั้นบรรดาข้อกำหนดต่าง ๆ ที่โหดเหื้ยมอำมหิตจึงเปิดเผยและคนทั้งหลายก็ได้มีโอกาสรู้ อย่างน้อยก็สามารถประณามประจานด่ากันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง
แต่การเอาประเทศตกเป็นประเทศราชทางการเงินนั้นกลับปกปิดมิดเม้น ไม่เคยเปิดเผยว่าได้ยอมรับเงื่อนไขหรือข้อกำหนดใด ๆ ที่มีลักษณะทำลายชาติ ปล้นชาติ ปล้นประชาชน
แม้ถึงวันนี้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าบริหารบ้านเมืองมาร่วมสี่ปีแล้ว แน่ใจหรือว่าได้ทราบข้อกำหนดที่เจ้าหนี้กำหนดให้ประเทศไทยปฏิบัติต่อเนื่องมาโดยลำดับนั้นมีกี่เรื่อง และแต่ละเรื่องเกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างไร
นี่เป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องแสวงหาและเอาความจริงมาบอกกล่าวให้ได้รู้โดยทั่วกัน และในชั้นนี้ขอประกาศให้ได้รู้โดยทั่วกันว่าหลายปีมาแล้วที่เจ้าหนี้ต่างประเทศส่งเจ้าหน้าที่มาประจำทำงานในหน่วยงานของรัฐมากมายหลายหน่วย บรรดาโครงการพัฒนาและโครงการขนาดใหญ่ทั้งหมดของประเทศนี้ล้วนจัดทำโดยเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
เจ้าหนี้ใช้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นตั้งโครงการแล้วเรียกเสียโก้หรูว่าเป็นโครงการศึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็มีข้อสรุปให้รัฐบาลไทยดำเนินโครงการนั้นและเกือบทั้งหมดต้องกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้มาใช้ แต่ผลที่ได้จากโครงการนั้นกลับเป็นประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
สังเกตง่าย ๆ ก็ได้ว่าโครงการสร้างถนนสารพัดชนิดที่ประเทศไทยเป็นหนี้เป็นสินล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการขายรถยนต์ของเจ้าหนี้ และก่อหนี้ให้กับคนไทย ก่อภาระรายจ่ายค่าน้ำมันหรือพลังงานให้แก่ประเทศไทย จนรายได้ของประเทศไม่พอที่จะนำไปซื้อพลังงานอยู่แล้ว
คงจำกันได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้มีการเตรียมจะออกกฎหมายเก็บภาษีค่าน้ำเอาจากประชาชน นั่นก็เพื่อเป็นการหารายได้ให้เพียงพอต่อการที่จะนำไปใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ กระทั่งมีการแหกหูแหกตาจนมีการระงับเรื่องนี้ไปด้วยวาทกรรมอันลือลั่นว่า “กูสั่งแม่มันเมื่อไหร่วะ?”
นั่นเพราะมีไอ้โม่งไปแอบอ้างกระซิบกระซาบให้ผู้รับผิดชอบเสนอร่างกฎหมาย จนเป็นเหตุให้คนไทยต้องด่ากันทั้งประเทศ และต้องถอนร่างกฎหมายนั้น
หรือล่าสุดการที่มีการนำสรุปผลการศึกษาของฝ่ายเจ้าหนี้ที่นำส่งแก่รัฐบาลไทยเมื่อปลายปี 2560 ให้ลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงด้วยเงินลงทุน 420,000 ล้านบาท แต่เชื่อมต่อกับใครไม่ได้ และจะมีผลขาดทุนฉิบหายวายป่วง
ซึ่งมีการดำเนินการที่แปลกประหลาดเนื่องจากมีการนำผลการศึกษาฝ่ายเดียวของเจ้าหนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดพิษณุโลกเมื่อต้นเดือนมกราคม 2561 โดยไม่ปรากฏว่ารัฐบาลไทยได้ทำการตรวจสอบศึกษาผลการศึกษานั้นว่าถูกต้องครบถ้วนเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติจริงหรือไม่ กลับเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
เดชะบุญที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งคงระแคะระคายเรื่องนี้ว่าแปลกประหลาดพิกล จึงมีคำสั่งให้ทบทวนโครงการ ด้วยเหตุผลสองประการคือ เป็นการลงทุนเกินความจำเป็นหรือไม่ และให้ลดอัตราความเร็วที่เกินความจำเป็นลง และเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการลงทุนถึง 420,000 ล้านบาท แต่เชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟไปประเทศไหนก็ไม่ได้
เรื่องใหญ่โตขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่ก็เพราะเป็นวิบากอย่างหนึ่งของการเป็นประเทศราชทางการเงิน
การที่ประเทศไทยต้องเบี้ยวข้อตกลงระหว่างประเทศจนเสื่อมศักดิ์เสียศรีของประเทศชาติในหลายกรณี ทั้งที่เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเห็นประจักษ์แล้วในปัจจุบันนี้ นั่นก็อาจเป็นผลโดยตรงจากการบงการของเจ้าประเทศราชทางการเงิน
การลงทุนในสามจังหวัดภาคตะวันออกซึ่งถูกระบุว่ามีวงเงินที่รัฐบาลต้องลงทุนถึง 1.8 ล้านล้านบาท แต่ผู้ลงทุนในกิจการสิบประเภทกลับได้รับยกเว้นภาษีตั้งแต่ 12-15 ปี และเห็นได้ชัดว่าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
เพราะเป็นการลงทุนของประเทศไทย แต่เจ้าหนี้สามารถเอาบริษัทบริวารมาเปิดทำการได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ทั้งจะเกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการอื่นที่อยู่นอกเขตสามจังหวัดภาคตะวันออกอีกด้วย ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบและความเสียหายจากการให้อภิสิทธิ์เหนือกว่าอภิสิทธิ์ใด ๆ ที่จะประกอบการในประเทศไทย
เช่น การถือครองที่ดินเป็นเวลาถึง 99 ปี ทำราวกับที่อังกฤษบังคับประเทศจีนในการเช่าฮ่องกงก็ไม่ปาน หรือการให้สิทธิ์ในการเข้าเมืองราวกับว่าเป็นประชากรของประเทศไทยเสียเอง
เมื่อกระทำกันถึงอย่างนี้ จะห้ามไม่ให้คิดว่านี่คือกลวิธีในการทำให้ประเทศไทยเป็นรัฐหนึ่งของเจ้าหนี้ไม่ได้ดอก
ดังนั้นจึงเป็นภารกิจของประชาชาติไทยทั้งปวงที่จะต้องปลดแอกประเทศไทยจากการเป็นประเทศราชทางการเงินให้เร็วที่สุด หาไม่แล้วเรื่องอุบาทว์จัญไรอีกมากมายก็จะเกิดขึ้นไม่สิ้นไม่สุด.ต้องเร่งปลดแอกประเทศไทย!
โดย สิริอัญญา
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
ในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้มีเรื่องประหลาดพิกลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดความสงสัยโดยทั่วไปว่าเรื่องราวประหลาดพิกลเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นแต่กลับเกิดขึ้น บางเรื่องจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยพลัน แต่ก็ไม่ดำเนินการ บางเรื่องไม่ควรทำกลับทำ ทั้งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ประชาชนจำนวนมาก
ก็ต้องบอกให้เป็นข้อสังเกตโดยทั่วไปว่า นานาวิกาลและความวิปริตอาเพศทั้งหมดนั้นเป็นผลมีต้นเหตุสำคัญคือ ประเทศไทยไม่มีเอกราชทางการเงิน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเราเป็นประเทศราชทางการเงินของต่างชาติ
เราเป็นประเทศราชทางการเงินของชาติไหนเล่า? ก็ต้องไปดูว่าประเทศไทยเป็นหนี้สินชาติไหนมากที่สุด ไม่ต้องไปค้นหาให้ยากลำบาก ให้ไปดูเอกสารงบประมาณที่รัฐบาลนำเสนอต่อรัฐสภาก็จะระบุชัดเจนว่าในจำนวนหนี้สินต่างประเทศทั้งหมดของประเทศไทยนั้นเป็นหนี้ชาติใด ชาตินั้นแหละเป็นเจ้าประเทศราชทางการเงินของประเทศไทย
ในเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานชัดเจนว่า ประเทศไทยเป็นประเทศราชของเจ้าประเทศราชทางการเงินเพียงชาติเดียว เพราะหนี้สินต่างประเทศเกือบทั้งหมด ประเทศไทยเป็นหนี้ต่อประเทศเดียว ทำให้เห็นได้ว่ามีขบวนการขายชาติที่จงใจทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศราชทางการเงินต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งกลายเป็นประเทศราชอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นเมื่อเป็นประเทศราชทางการเงินของต่างชาติแล้วก็จะต้องผูกพันด้วยข้อตกลงต่าง ๆ ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย ให้ต้องประพฤติปฏิบัติตามที่เจ้าประเทศราชต้องการ ไม่ว่าสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัตินั้นจะสอดคล้องกับความต้องการหรือขัดกับความปรารถนาของประชาชนอย่างไรก็ตาม
นี่แหละคือที่มาของเรื่องอุบาทว์จัญไรทั้งหลายที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ต่อเนื่องมาเป็นเวลานานแล้ว และยังหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ และถ้าหากไม่แก้ไขให้ทันท่วงที ในที่สุดก็จะถึงกาลสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินเป็นแน่แท้
ประเทศไทยเคยเป็นหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศเพียงไม่กี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ก็ถูกออกข้อกำหนดที่สร้างความพินาศฉิบหายให้กับคนไทยและประเทศไทยจำนวนมหาศาล เหตุการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 และความพินาศของประเทศชาติและภาคธุรกิจไทยหลายล้านล้านบาทเกินกว่าจำนวนหนี้ที่กู้จากไอเอ็มเอฟมากมายนัก
มาตรการทั้งหลายที่ออกมาในขณะนั้นถูกประชาชาติไทยประณามประจานว่าเป็นการกระทำที่ขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นประชาชน นั่นเป็นเรื่องของการก่อหนี้สินเพียงไม่กี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
แม้จะเป็นเรื่องโหดร้ายทารุณที่กระทำต่อประเทศชาติและราษฎรสักเท่าใด ก็ยังเบากว่าการเป็นประเทศราชทางการเงินมากมายนัก เพราะแม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของไอเอ็มเอฟโหดเหี้ยมอำมหิตก็ตาม แต่ก็มีการเปิดเผยให้รู้กันทั่วกันว่าในการกู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟนั้น ประเทศไทยต้องรับข้อกำหนดอะไรบ้าง ดังนั้นบรรดาข้อกำหนดต่าง ๆ ที่โหดเหื้ยมอำมหิตจึงเปิดเผยและคนทั้งหลายก็ได้มีโอกาสรู้ อย่างน้อยก็สามารถประณามประจานด่ากันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง
แต่การเอาประเทศตกเป็นประเทศราชทางการเงินนั้นกลับปกปิดมิดเม้น ไม่เคยเปิดเผยว่าได้ยอมรับเงื่อนไขหรือข้อกำหนดใด ๆ ที่มีลักษณะทำลายชาติ ปล้นชาติ ปล้นประชาชน
แม้ถึงวันนี้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าบริหารบ้านเมืองมาร่วมสี่ปีแล้ว แน่ใจหรือว่าได้ทราบข้อกำหนดที่เจ้าหนี้กำหนดให้ประเทศไทยปฏิบัติต่อเนื่องมาโดยลำดับนั้นมีกี่เรื่อง และแต่ละเรื่องเกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างไร
นี่เป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องแสวงหาและเอาความจริงมาบอกกล่าวให้ได้รู้โดยทั่วกัน และในชั้นนี้ขอประกาศให้ได้รู้โดยทั่วกันว่าหลายปีมาแล้วที่เจ้าหนี้ต่างประเทศส่งเจ้าหน้าที่มาประจำทำงานในหน่วยงานของรัฐมากมายหลายหน่วย บรรดาโครงการพัฒนาและโครงการขนาดใหญ่ทั้งหมดของประเทศนี้ล้วนจัดทำโดยเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
เจ้าหนี้ใช้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นตั้งโครงการแล้วเรียกเสียโก้หรูว่าเป็นโครงการศึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็มีข้อสรุปให้รัฐบาลไทยดำเนินโครงการนั้นและเกือบทั้งหมดต้องกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้มาใช้ แต่ผลที่ได้จากโครงการนั้นกลับเป็นประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
สังเกตง่าย ๆ ก็ได้ว่าโครงการสร้างถนนสารพัดชนิดที่ประเทศไทยเป็นหนี้เป็นสินล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการขายรถยนต์ของเจ้าหนี้ และก่อหนี้ให้กับคนไทย ก่อภาระรายจ่ายค่าน้ำมันหรือพลังงานให้แก่ประเทศไทย จนรายได้ของประเทศไม่พอที่จะนำไปซื้อพลังงานอยู่แล้ว
คงจำกันได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้มีการเตรียมจะออกกฎหมายเก็บภาษีค่าน้ำเอาจากประชาชน นั่นก็เพื่อเป็นการหารายได้ให้เพียงพอต่อการที่จะนำไปใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ กระทั่งมีการแหกหูแหกตาจนมีการระงับเรื่องนี้ไปด้วยวาทกรรมอันลือลั่นว่า “กูสั่งแม่มันเมื่อไหร่วะ?”
นั่นเพราะมีไอ้โม่งไปแอบอ้างกระซิบกระซาบให้ผู้รับผิดชอบเสนอร่างกฎหมาย จนเป็นเหตุให้คนไทยต้องด่ากันทั้งประเทศ และต้องถอนร่างกฎหมายนั้น
หรือล่าสุดการที่มีการนำสรุปผลการศึกษาของฝ่ายเจ้าหนี้ที่นำส่งแก่รัฐบาลไทยเมื่อปลายปี 2560 ให้ลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงด้วยเงินลงทุน 420,000 ล้านบาท แต่เชื่อมต่อกับใครไม่ได้ และจะมีผลขาดทุนฉิบหายวายป่วง
ซึ่งมีการดำเนินการที่แปลกประหลาดเนื่องจากมีการนำผลการศึกษาฝ่ายเดียวของเจ้าหนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดพิษณุโลกเมื่อต้นเดือนมกราคม 2561 โดยไม่ปรากฏว่ารัฐบาลไทยได้ทำการตรวจสอบศึกษาผลการศึกษานั้นว่าถูกต้องครบถ้วนเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติจริงหรือไม่ กลับเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
เดชะบุญที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งคงระแคะระคายเรื่องนี้ว่าแปลกประหลาดพิกล จึงมีคำสั่งให้ทบทวนโครงการ ด้วยเหตุผลสองประการคือ เป็นการลงทุนเกินความจำเป็นหรือไม่ และให้ลดอัตราความเร็วที่เกินความจำเป็นลง และเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการลงทุนถึง 420,000 ล้านบาท แต่เชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟไปประเทศไหนก็ไม่ได้
เรื่องใหญ่โตขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่ก็เพราะเป็นวิบากอย่างหนึ่งของการเป็นประเทศราชทางการเงิน
การที่ประเทศไทยต้องเบี้ยวข้อตกลงระหว่างประเทศจนเสื่อมศักดิ์เสียศรีของประเทศชาติในหลายกรณี ทั้งที่เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเห็นประจักษ์แล้วในปัจจุบันนี้ นั่นก็อาจเป็นผลโดยตรงจากการบงการของเจ้าประเทศราชทางการเงิน
การลงทุนในสามจังหวัดภาคตะวันออกซึ่งถูกระบุว่ามีวงเงินที่รัฐบาลต้องลงทุนถึง 1.8 ล้านล้านบาท แต่ผู้ลงทุนในกิจการสิบประเภทกลับได้รับยกเว้นภาษีตั้งแต่ 12-15 ปี และเห็นได้ชัดว่าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
เพราะเป็นการลงทุนของประเทศไทย แต่เจ้าหนี้สามารถเอาบริษัทบริวารมาเปิดทำการได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ทั้งจะเกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการอื่นที่อยู่นอกเขตสามจังหวัดภาคตะวันออกอีกด้วย ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบและความเสียหายจากการให้อภิสิทธิ์เหนือกว่าอภิสิทธิ์ใด ๆ ที่จะประกอบการในประเทศไทย
เช่น การถือครองที่ดินเป็นเวลาถึง 99 ปี ทำราวกับที่อังกฤษบังคับประเทศจีนในการเช่าฮ่องกงก็ไม่ปาน หรือการให้สิทธิ์ในการเข้าเมืองราวกับว่าเป็นประชากรของประเทศไทยเสียเอง
เมื่อกระทำกันถึงอย่างนี้ จะห้ามไม่ให้คิดว่านี่คือกลวิธีในการทำให้ประเทศไทยเป็นรัฐหนึ่งของเจ้าหนี้ไม่ได้ดอก
ดังนั้นจึงเป็นภารกิจของประชาชาติไทยทั้งปวงที่จะต้องปลดแอกประเทศไทยจากการเป็นประเทศราชทางการเงินให้เร็วที่สุด หาไม่แล้วเรื่องอุบาทว์จัญไรอีกมากมายก็จะเกิดขึ้นไม่สิ้นไม่สุด.ต้องเร่งปลดแอกประเทศไทย!
โดย สิริอัญญา
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
ในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้มีเรื่องประหลาดพิกลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดความสงสัยโดยทั่วไปว่าเรื่องราวประหลาดพิกลเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นแต่กลับเกิดขึ้น บางเรื่องจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยพลัน แต่ก็ไม่ดำเนินการ บางเรื่องไม่ควรทำกลับทำ ทั้งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ประชาชนจำนวนมาก
ก็ต้องบอกให้เป็นข้อสังเกตโดยทั่วไปว่า นานาวิกาลและความวิปริตอาเพศทั้งหมดนั้นเป็นผลมีต้นเหตุสำคัญคือ ประเทศไทยไม่มีเอกราชทางการเงิน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเราเป็นประเทศราชทางการเงินของต่างชาติ
เราเป็นประเทศราชทางการเงินของชาติไหนเล่า? ก็ต้องไปดูว่าประเทศไทยเป็นหนี้สินชาติไหนมากที่สุด ไม่ต้องไปค้นหาให้ยากลำบาก ให้ไปดูเอกสารงบประมาณที่รัฐบาลนำเสนอต่อรัฐสภาก็จะระบุชัดเจนว่าในจำนวนหนี้สินต่างประเทศทั้งหมดของประเทศไทยนั้นเป็นหนี้ชาติใด ชาตินั้นแหละเป็นเจ้าประเทศราชทางการเงินของประเทศไทย
ในเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานชัดเจนว่า ประเทศไทยเป็นประเทศราชของเจ้าประเทศราชทางการเงินเพียงชาติเดียว เพราะหนี้สินต่างประเทศเกือบทั้งหมด ประเทศไทยเป็นหนี้ต่อประเทศเดียว ทำให้เห็นได้ว่ามีขบวนการขายชาติที่จงใจทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศราชทางการเงินต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งกลายเป็นประเทศราชอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นเมื่อเป็นประเทศราชทางการเงินของต่างชาติแล้วก็จะต้องผูกพันด้วยข้อตกลงต่าง ๆ ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย ให้ต้องประพฤติปฏิบัติตามที่เจ้าประเทศราชต้องการ ไม่ว่าสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัตินั้นจะสอดคล้องกับความต้องการหรือขัดกับความปรารถนาของประชาชนอย่างไรก็ตาม
นี่แหละคือที่มาของเรื่องอุบาทว์จัญไรทั้งหลายที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ต่อเนื่องมาเป็นเวลานานแล้ว และยังหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ และถ้าหากไม่แก้ไขให้ทันท่วงที ในที่สุดก็จะถึงกาลสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินเป็นแน่แท้
ประเทศไทยเคยเป็นหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศเพียงไม่กี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ก็ถูกออกข้อกำหนดที่สร้างความพินาศฉิบหายให้กับคนไทยและประเทศไทยจำนวนมหาศาล เหตุการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 และความพินาศของประเทศชาติและภาคธุรกิจไทยหลายล้านล้านบาทเกินกว่าจำนวนหนี้ที่กู้จากไอเอ็มเอฟมากมายนัก
มาตรการทั้งหลายที่ออกมาในขณะนั้นถูกประชาชาติไทยประณามประจานว่าเป็นการกระทำที่ขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นประชาชน นั่นเป็นเรื่องของการก่อหนี้สินเพียงไม่กี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
แม้จะเป็นเรื่องโหดร้ายทารุณที่กระทำต่อประเทศชาติและราษฎรสักเท่าใด ก็ยังเบากว่าการเป็นประเทศราชทางการเงินมากมายนัก เพราะแม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของไอเอ็มเอฟโหดเหี้ยมอำมหิตก็ตาม แต่ก็มีการเปิดเผยให้รู้กันทั่วกันว่าในการกู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟนั้น ประเทศไทยต้องรับข้อกำหนดอะไรบ้าง ดังนั้นบรรดาข้อกำหนดต่าง ๆ ที่โหดเหื้ยมอำมหิตจึงเปิดเผยและคนทั้งหลายก็ได้มีโอกาสรู้ อย่างน้อยก็สามารถประณามประจานด่ากันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง
แต่การเอาประเทศตกเป็นประเทศราชทางการเงินนั้นกลับปกปิดมิดเม้น ไม่เคยเปิดเผยว่าได้ยอมรับเงื่อนไขหรือข้อกำหนดใด ๆ ที่มีลักษณะทำลายชาติ ปล้นชาติ ปล้นประชาชน
แม้ถึงวันนี้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าบริหารบ้านเมืองมาร่วมสี่ปีแล้ว แน่ใจหรือว่าได้ทราบข้อกำหนดที่เจ้าหนี้กำหนดให้ประเทศไทยปฏิบัติต่อเนื่องมาโดยลำดับนั้นมีกี่เรื่อง และแต่ละเรื่องเกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างไร
นี่เป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องแสวงหาและเอาความจริงมาบอกกล่าวให้ได้รู้โดยทั่วกัน และในชั้นนี้ขอประกาศให้ได้รู้โดยทั่วกันว่าหลายปีมาแล้วที่เจ้าหนี้ต่างประเทศส่งเจ้าหน้าที่มาประจำทำงานในหน่วยงานของรัฐมากมายหลายหน่วย บรรดาโครงการพัฒนาและโครงการขนาดใหญ่ทั้งหมดของประเทศนี้ล้วนจัดทำโดยเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
เจ้าหนี้ใช้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นตั้งโครงการแล้วเรียกเสียโก้หรูว่าเป็นโครงการศึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็มีข้อสรุปให้รัฐบาลไทยดำเนินโครงการนั้นและเกือบทั้งหมดต้องกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้มาใช้ แต่ผลที่ได้จากโครงการนั้นกลับเป็นประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
สังเกตง่าย ๆ ก็ได้ว่าโครงการสร้างถนนสารพัดชนิดที่ประเทศไทยเป็นหนี้เป็นสินล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการขายรถยนต์ของเจ้าหนี้ และก่อหนี้ให้กับคนไทย ก่อภาระรายจ่ายค่าน้ำมันหรือพลังงานให้แก่ประเทศไทย จนรายได้ของประเทศไม่พอที่จะนำไปซื้อพลังงานอยู่แล้ว
คงจำกันได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้มีการเตรียมจะออกกฎหมายเก็บภาษีค่าน้ำเอาจากประชาชน นั่นก็เพื่อเป็นการหารายได้ให้เพียงพอต่อการที่จะนำไปใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ กระทั่งมีการแหกหูแหกตาจนมีการระงับเรื่องนี้ไปด้วยวาทกรรมอันลือลั่นว่า “กูสั่งแม่มันเมื่อไหร่วะ?”
นั่นเพราะมีไอ้โม่งไปแอบอ้างกระซิบกระซาบให้ผู้รับผิดชอบเสนอร่างกฎหมาย จนเป็นเหตุให้คนไทยต้องด่ากันทั้งประเทศ และต้องถอนร่างกฎหมายนั้น
หรือล่าสุดการที่มีการนำสรุปผลการศึกษาของฝ่ายเจ้าหนี้ที่นำส่งแก่รัฐบาลไทยเมื่อปลายปี 2560 ให้ลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงด้วยเงินลงทุน 420,000 ล้านบาท แต่เชื่อมต่อกับใครไม่ได้ และจะมีผลขาดทุนฉิบหายวายป่วง
ซึ่งมีการดำเนินการที่แปลกประหลาดเนื่องจากมีการนำผลการศึกษาฝ่ายเดียวของเจ้าหนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดพิษณุโลกเมื่อต้นเดือนมกราคม 2561 โดยไม่ปรากฏว่ารัฐบาลไทยได้ทำการตรวจสอบศึกษาผลการศึกษานั้นว่าถูกต้องครบถ้วนเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติจริงหรือไม่ กลับเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
เดชะบุญที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งคงระแคะระคายเรื่องนี้ว่าแปลกประหลาดพิกล จึงมีคำสั่งให้ทบทวนโครงการ ด้วยเหตุผลสองประการคือ เป็นการลงทุนเกินความจำเป็นหรือไม่ และให้ลดอัตราความเร็วที่เกินความจำเป็นลง และเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการลงทุนถึง 420,000 ล้านบาท แต่เชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟไปประเทศไหนก็ไม่ได้
เรื่องใหญ่โตขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่ก็เพราะเป็นวิบากอย่างหนึ่งของการเป็นประเทศราชทางการเงิน
การที่ประเทศไทยต้องเบี้ยวข้อตกลงระหว่างประเทศจนเสื่อมศักดิ์เสียศรีของประเทศชาติในหลายกรณี ทั้งที่เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเห็นประจักษ์แล้วในปัจจุบันนี้ นั่นก็อาจเป็นผลโดยตรงจากการบงการของเจ้าประเทศราชทางการเงิน
การลงทุนในสามจังหวัดภาคตะวันออกซึ่งถูกระบุว่ามีวงเงินที่รัฐบาลต้องลงทุนถึง 1.8 ล้านล้านบาท แต่ผู้ลงทุนในกิจการสิบประเภทกลับได้รับยกเว้นภาษีตั้งแต่ 12-15 ปี และเห็นได้ชัดว่าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งสิ้น
เพราะเป็นการลงทุนของประเทศไทย แต่เจ้าหนี้สามารถเอาบริษัทบริวารมาเปิดทำการได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ทั้งจะเกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการอื่นที่อยู่นอกเขตสามจังหวัดภาคตะวันออกอีกด้วย ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบและความเสียหายจากการให้อภิสิทธิ์เหนือกว่าอภิสิทธิ์ใด ๆ ที่จะประกอบการในประเทศไทย
เช่น การถือครองที่ดินเป็นเวลาถึง 99 ปี ทำราวกับที่อังกฤษบังคับประเทศจีนในการเช่าฮ่องกงก็ไม่ปาน หรือการให้สิทธิ์ในการเข้าเมืองราวกับว่าเป็นประชากรของประเทศไทยเสียเอง
เมื่อกระทำกันถึงอย่างนี้ จะห้ามไม่ให้คิดว่านี่คือกลวิธีในการทำให้ประเทศไทยเป็นรัฐหนึ่งของเจ้าหนี้ไม่ได้ดอก
ดังนั้นจึงเป็นภารกิจของประชาชาติไทยทั้งปวงที่จะต้องปลดแอกประเทศไทยจากการเป็นประเทศราชทางการเงินให้เร็วที่สุด หาไม่แล้วเรื่องอุบาทว์จัญไรอีกมากมายก็จะเกิดขึ้นไม่สิ้นไม่สุด.
โดย สิริอัญญา
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
สำนักข่าววิหคนิวส์