ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ การเมือง การปกครอง ได้โพสข้อความระบุว่า ต้องใช้นิติรัฐ คู่ นิติธรรม
การออกคำสั่งตามประกาศที่เกิดขึ้นนั้น ที่ประกาศ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ที่ห้ามการเดินทาง ห้าม จัดสัมนา การเรียนการสอน การบริจาคสิ่งของ อาหาร การบิน ฯลฯ กำลังจะสร้างปัญหาใหญ่ จนกลายเป็นการชุมนุม จนกลายเป็นการจราจล ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ ทั้ง สหรัฐ อินเดีย ปากีสถาน ฯลฯ เพราะประชาชนอดรนทนไม่ไหวกับมาตรการล็อคดาว์ ที่กระทบต่อปากท้อง อาชีพ การทำมาหาได้ จนเกิดการฆ่าตัวตาย
ในไทยมีต้นเหตุมาจาก ความผิดพลาดครั้งนี้เกิดจาก มติครม.ที่ไม่ให้เลื่อนวันหยุด ตามข้อเสนอของสใช. ทำให้ประชาชนหลายสิบล้านคนออกเดินทางจากเมืองหลวง หัวเมือง จนแน่นขนัด เหมือนครั้งที่ กทม.ออกคำสั่งผิดพลาดในการปิดเมืองในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จนทำให้โรคละบาดลามไปทั่วประเทศ และยังลามไป พม่า ลาว เขมร
การออกคำสั่งปลดล็อคดาว์ ที่ออกมาตรการตามมาโดยเฉพาะการห้ามเดินทางต่างจังหวัด ห้ามการเรียน การสอน สัมนา ฯลฯ หลังจากประชาชนนับสิบล้านคนได้เดินทางออกจากพระนคร และหัวเมืองทั่วประเทศไปแล้ว 1 วัน นั้นหมายถึงเมื่อพ้นวันหยุดก็จะเดินทางกลับไปทำงานมิได้ ก็ย่อมจะเกิดการไม่พอใจต่อต้านของประชาชนหมู่มาก อย่างมิควรจะเกิดขึ้น
การดำเนินการจึงควรพิจารณาผ่อนปรนคำสั่งห้ามตามประกาศ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ไปก่อน แล้วออกคำสั่งให้ “ประชาชนทุกคน” ที่ออกจากเคหะสถาน จะต้องสวมหน้ากาก ถุงมือ และรองเท้าให้มิดชิด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด อันจะส่งผลดีกว่า การเว้นระยะห่างทางสังคมด้วยซ้ำไป เพราะทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนป่วย หรือไม่ป่วยจะได้ป้องกันตนเอง ทั้งทางเดินหายใจและการสัมผัส เหมือนบุคลากรณ์ทางการแพทย์ทำอยู่ในปัจจุบัน อันจะส่งผลให้การทำกิจกรรมทั้งการเรียน การสอน การเดินรถ การบริจาค การบิน รถโดยสารภายในประเทศ ก็จะทำได้ปกติโดยเกิดการระบาดน้อยที่สุด
เมื่อออกคำสั่งตามหลักนิติรัฐแล้ว ที่ควรมีโทษปรับไม่เกิน 5000 บาท ต้องใช้หลักนิติธรรม ด้วยการให้เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายพบเจอ ผู้กระทำความผิดจะต้องว่ากล่าวตักเตือน และควรเอาหน้ากาก ถุงมือ ให้กับผู้ที่ขาดแคน หากยังเจตนาเพิกเฉย จึงบังคับใช้กฎหมายในลำดับต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
การเยียวยาที่ก.คลังนั้น ที่วุ่นวายเพราะมิได้เยียวยาให้ประชากรครบทุกคนตามแผน แต่จ่ายให้เพียง 14 ล้านคน คนได้ก็เงียบ ที่ไม่ได้อีกไม่เกิน 50 ล้านคน เว้นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจก็จะต้องโวยวาย ไม่พอใจ เป็นศัตรู เป็นเรื่องธรรมชาติ เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์การโต้งแย้งสิทธิ์ระหว่างนี้ ที่ตั้งโต๊ะไว้แล้วควรติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ให้ประชาชนได้แก้ไขทันที แล้วสั่งให้ กทม. คลังจังหวัด อำเภอ เทศบาล อำนวยความสะดวกในการรับโต้แย้งสิทธิผ่านระบบคอมพิวเตอร์ด้วย แล้วประสานภาคเอกชน รัฐ ที่ต้องการบริจาค นำอาหาร ข้าวสาร ฯลฯ มาบริจาคให้กับเฉพาะผู้โต้แย้งสิทธิ อันเป็นการบรรเทาทุกข์ อย่างน้อยก็ไม่กลับมือเปล่า
ส่วนการหาผู้เชี่ยวชาญยุทธศาสตร์ การเมือง การปกครอง มาเป็น ที่ปรึกษานายก หรือ รองนายก เพื่อให้คำแนะนำระยะกลาง และระยะยาวนั้น ประเทศไทยมีผู้เชี่ยวชาญด้ายนี้เพียง 4 ท่าน 1.พณฯปรีดา พัฒนถาบุตร เรียนมาจากเยอรมัน หลักทฤษฎีของฮิตเลอร์ ปัจจุบัญอยู่ในธรรมกาย 2.ทักษิณ ชินวัตร ลูกศิษย์ พณฯปรีดา 3.พณฯไกรสร ตันติพงศ์ ลูกศิษย์ ท่านควง อภัยวงค์ และมรว.เสณีย์ ปราโมช (เคยกุนซือป๋า) 4.ดร.เทอดศักดิ์ ลูกศิษย์ หลาน เลขา ของ พณฯไกรสร ตันติพงศ์ (เคยกุนซือนายกมา1ท่าน) ก็ลองไปทาบทามดูท่านใดท่านหนึ่งมาช่วย อะไรคงจะง่ายขึ้น
ส่วน พระ”จ” เพื่อนร่วมรุ่น ที่ขวางเพราะแกมีปัญหากับอาจารย์เกษม ที่ไม่ให้แกทำงานต่อหลังเกษียณ จากสาเหตุฝูงแมว ที่ขนมันเข้าแอร์ไปกระทบทางเดินหายใจป๋า จนท่านป่วยจากขนแมว ท่านจึงต้องสั่งให้ขนฝูงแมวออกจากบ้านหมด แล้วเอาลูกศิษย์คนสนิทอาจารย์เกษมมาทำงานแทน ตั้งแต่นั้นแกจะพาลเคืองคนที่เคยทำงานการเมืองให้อาจารย์เกษม และป๋า มาตลอด เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าแกเป็นกุนซือ อาจารย์เกษมท่านมีเมตรตาธรรมไปหักท่านกับทีม ทั้งที่ท่านเคยเลี้ยงฉลองตำแหน่งไปแล้วแต่ก็วืดเสียหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วมีวันนี้ได้เพราะท่านแท้ๆ ผมก็พาลซวยโดนไปด้วย เรื่องนี้ก็ลองพิจารณาเอาเอง
การใช้หลัก นิติรัฐ คู่ นิติธรรม หากใช้ให้ถูกทาง ก็สามารถปรับแก้สถานการณ์จากแรงต้าน กลายเป็นแรงหนุนได้ ในอนาคตเมื่อระดับตัวเลขได้ผลดีต่ำ 50 ก็ควรทะยอยเปิดสถานบริการอื่นๆ โดยยึดหลักเดียวกัน หากเกิดการระบาดรอบใหม่อย่าปิดแบบเหมารวมเด็ดขาด เว้นแต่จะเกิดการระบาดใหญ่ ควรเปิดเฉพาะจุดให้เกิดการปรับปรุง สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนแรกเริ่ม ยิ่งปิดยิ่งต้องเยียวยา แรงกดดัน สถานการณ์แตกต่างจากเดิม จะยึดหลักการเดิมมิได้
จงพึงเสมอว่ายุทธการ “ไวรัสพินาศ ประชาชนพ้นภัยนั้น” เป็นหลักทฤษฎีเชิงการบริหารการปกครองในยามสถานการณ์วิกฤติ ที่คนไทยคิดขึ้นเอง เป็นทฤษฎีใหม่มิได้ไปลอกเรียนแบบจากประเทศใดมา จนเราเป็นตัวแบบของอารยะประเทศไปแล้ว ซึ่งไวรัสจะอยู่กับเราอีกยาวจนกว่าจะมีวัคซีน ขอให้โชคดี
“ ตำราจีนว่าไว้ กุนซือเปรียบดั่งช้างเผือก มักแฝงเร้นกายบำเพ็ญตนอยู่ในป่าลึก กุนซือก็เปรียบดั่งเสาค้ำยันประเทศ ผู้นำถ้ามีกุนซืออัจฉริยะคู่กายก็เปรียบดั่งพยัคฆ์ติดปีก “
ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
2 พฤษภาคม 2563