28 ส.ค.63 – นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวเมื่อ 27 ส.ค.ที่ผานมาถึงกรณีที่ออกมาสนับสนุนแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย และไปวิพากษ์วิจารณ์แนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกล จนถูกกระแสในโลกโซเชียลออกมาโจมตี ว่า หลายคนก็ถามว่า ทำไมหาเรื่องไปสนับสนุนแนวทางพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่อยากทัวร์ลง ต้องเอาตามแนวทางที่พรรคก้าวไกลเสนอ แต่ด้วยความที่เป็น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ต้องมีความเป็นตัวเอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ต้องเอาประชาชนเป็นหลังพิง เพราะในเมื่อรัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา256 ไม่แตะหมวด1-2 ที่มาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.)ก็มาจากประชาชน ส่วนเรื่องปิดสวิตช์สว.ไม่มีใครขัดข้อง เพียงแต่จะให้นักการเมืองปิดหรือให้ประชาชนปิด ถามปัญญานักการเมืองปิดได้หรือไม่ เพราะสว.ไม่มีทางโหวตให้ ต้องให้ประชาชนปิด
ที่ต้องต่อสู้ ไม่ได้กลัววิพากษ์วิจารณ์ ที่บอกว่าการแก้ไขมาตรา256 ไม่เห็นด้วยที่จะห้ามไม่ให้แก้ไขหมวด1-2 ควรให้สสร.แก้ แล้วทำไมเรื่องปิดสวิตช์ ทำไมไม่ให้ประชาชนไปแก้ การบอกว่าใจไม่ถึง เขาผ่านมาหมดแล้ว เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็อภิปรายแล้ว เป็นส.ส.ก็ใส่เสื้อแดงพาประชาชนมาร่วมชุมนุม ถูกดำเนินคดีก็หลายคน ถ้าเลือกแนวทางนี้ มั่นใจประชาชน นิสิตนักศึกษาจัดการได้ คุณก็มาร่วมรับผิดชอบกับเขา นำทัพเลย ถ้ามีความเชื่อว่า ทางนี้เป็นทางเดียวที่ประสบคามสำเร็จ ก็ต้องมาร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา อย่าปล่อยให้นักศึกษาโดดเดี่ยวตามลำพัง คุณก็ไม่ได้เป็นนักการเมืองแล้ว ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว ถ้าบอกไม่เห็นชอบกับแนวทางนี้ ต้องแสดงมาแต่ต้นแล้วก็ตกลงกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่พอเสียงแตกกันมานั้น เวลาอภิปรายจะรับร่างมาตรา256หรือไม่ เพราะไม่เห็นด้วยกับการเว้นหมวด1-2 มันมีเรื่องยิบย่อยมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด การเดินไปปลายทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปิดสวิตช์สว.ระหว่างนักการเมือง ประชาชน ใครมีพลัง มีความชอบธรรมมากกว่า เพียงแต่ถ้าใครเชื่อเป็นอย่างอื่นก็ต้องลงสนาม ไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา การแก้รัฐธรรมนูญคราวนี้เป็นเรื่องความยากลำบากที่สุด ต้องใช้ศิลปะ พรรคเพื่อไทยก็ทัวร์ลง เรื่องปิดสวิตช์สว.เป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันหมด เพียงแต่เขารู้นักการเมืองไม่มีภูมิต้านทาน ถูกยุบพรรคมาแล้ว ในสมัยพรรคเพื่อไทยก็เคยแก้ไขรายมาตราที่มาสว. ผ่านสภาฯแต่ถูกตีคว่ำในศาลรัฐธรรมนูญเหมือนกัน ในวันประชาชนเต็มถนนเหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าตนเคยอยู่พรรคเพื่อไทย แล้วไปเข้าข้าง แต่ในวันนี้ต้องเดินอย่างแยบยลที่สุด เอาความเป็นไปได้มากที่สุด อย่ากลัวว่าชิงยุบสภาฯ ถึงยุบก็ไม่น่ากลัว ยิ่งไปบอกประชาชนให้เลือกให้ได้เสียงเกินครึ่ง ลองดูใครอึดกว่ากัน เรามีวิธีต่างๆมากมาย ถ้าให้ประชาชนได้มีสิทธิ์แก้บางมาตรา แต่พอกับเรื่องปิดสวิตช์สว.ดันไม่ไว้ใจประชาชนเสียอีก รัฐธรรมนูญที่ต้องเขียนใหม่ ไม่เชื่อมือประชาชนหรือ เชื่อว่าประชาชนจะปิดสวิตช์สว.ด้วยตัวเขาเอง นักการเมืองไม่มีปัญญาไปปิดสวิตช์หรอก สว.ก็ไม่ยอมปิดสวิตช์ ต้องให้ประชาชนเป็นคนปิดที่มีความชอบธรรมกับนักการเมือง ถ้าสู้ก็ต้องเดิมพัน ถ้ามั่นใจก็ลงมานำประชาชนเลย
เราเป็นนักประชาธิปไตย ต้องทนเห็นความแตกต่างกันได้ ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายหนึ่งได้ คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ เดี๋ยวทัวร์ลง นี่จะเป็นเผด็จการพันธุ์ใหม่นะจะบอกให้ หลักการความเสมอภาควิพากษ์วิจารณ์บนความแตกต่างกันนั้น เป็นคุณสมบัติพื้นฐานนักประชาธิปไตย ถ้าเห็นต่างทัวร์ลง บ้านเมืองมันวุ่น เราจะเป็นเผด็จการพันธุ์ใหม่ ทุกคนต่างมีสิทธิ์ มีความเห็นต่างกัน แล้วความแตกต่างไม่ได้ผิดอะไรเลย ไม่ได้หมายความว่าซีกเพื่อไทยเขาจะไม่เห็นด้วยกับการปิดสวิตช์ แต่เขาต้องการให้คนปิดสวิตช์คือประชาชน มติพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ต่างกัน เมื่อมีความเห็นเป็นอย่างอื่น ก็เห็นด้วยมาตลอด แล้วคุณมาเปลี่ยนก่อนไม่กี่นาที แล้วคนไม่เปลี่ยนมีความผิดได้อย่างไร มันก็ไม่ยุติธรรม นักประชาธิปไตยทำแบบนี้ไม่ได้ มันก็ต้องมีเกียรติกันตลอดสนามเหมือนกัน ผมก็ไม่บ้าจี้กระแสอะไร เอาตามที่เชื่อ เชื่ออะไรก็ว่าอย่างนั้น ใครเชื่ออย่างไรก็เป็นเสรีภาพ ไม่ใช่เห็นต่างเป็นศัตรูทันที คุณก็แค่เผด็จการพันธุ์ใหม่เท่านั้นเอง มันต้องเป็นประชาธิปไตย เรียกร้องประชาธิปไตย ตัวเองต้องเป็นนักประชาธิปไตยก่อน วิพากษ์วิจารณ์กันได้ นี่คือประชาธิปไตย”