ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ การเมือง การปกครอง ได้โพสข้อความระบุว่า มีคนถามว่าม๊อบจบหรือยัง?
ตอบว่า…นี่คือแค่เริ่มต้น จะมีมาอีกตามเวลาของมัน แต่ถ้าแม่นยำในยุทธศาสตร์ได้พบ 4 ท่าน และยอมตอบรับ ฟันธงม๊อบหาย เพราะระยะกลางทราบดีอยู่แล้ว ว่าจะมีม๊อบมาจะต้องมีการฉวยโอกาสยามโควิดเบาลง แต่เศรษฐกิจจะพังพินาศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ รัฐบาลก็สร้างหนี้มหาศาล ต้องขึ้นภาษี อ้างเหตุใช้หลักการปลูกฝังทางความคิด ในการจัดการชุมนุม
เพื่อขับไล่รัฐบาล ลามปามไปสถาบัน หวังเพื่อให้คนบัญชาการเหตุการณ์ กลับมาอย่างเท่ห์ๆ ได้นิรโทษ กลับมามีอำนาจอีกครั้ง เด็กจะเป็นเพียงเครื่องมือ ตามทฤษฎีทางการเมืองเชิงปรากฎการณ์ ที่ล่าสุดเกิดขึ้นในฮ่องกง ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยเปลี่ยนแปลงการปกครองในฮ่องกง ในระยะแรก สี จิ้นผิง พยายามให้โอกาสกับเด็ก ที่ไม่ประสาการเมือง ถูกฝรั่งหลอกใช้ ในการแบ่งแยกประเทศของตัวเอง
สุดท้ายต้องโดนจับกุมดำเนินคดีทั้งหมด และออกกฎหมายความมั่นคง ควบคุมสถานการณ์ แกนนำหลายคนหนีไปลี้ภัยอังกฤษ อดีตเจ้าอาณานิคมฮ่องกง โจ ชัวหว่องแกนนำร่มเหลือง ประกาศลาออกจากหัวหน้าม๊อบ และถูกดำเนินคดีตามกฎหมายสหรัฐฉวยโอกาสยามทรัมป์ คะแนนนิยมตกต่ำ จนทหาร 12000 นาย นำเรือ USS เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำมาซ้อมรบ ตรึ่งกำลังบริเวณทะเลจีนใต้ พยายามยั่วยุจีนให้ทำสงคราม หวังเข้ายึดครองหมู่เกาะสแปรดรี่ แหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดในเอเซีย
สหรัฐยังคว่ำบาตรฮ่องกง ยกเลิกเขตปกครองพิเศษ ออกกฎหมายนอกอาณาเขต เล่นงานฮ่องกง ซึ่งรวมถึงม๊อบที่ชุมนุมต่อต้าน แบ่งแยกการปกครองในฮ่องกงทุกคน ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย รู้ตัวอีกทีเยาวชนเหล่านั้น ตกเป็นเครื่องมือของฝรั่ง เพื่อทำลายชาติตนเอง กลายเป็นคนชังชาติ เศรษฐกิจฮ่องกงพินาศ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นักธุรกิจแห่หนีออกประเทศ
ในไทยคล้ายคลึงกัน มีคนพยายาม copy อ้าง เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ถึงขั้นเดินทางไปสหรัฐ เรียกร้องให้มาสนับสนุน แต่สหรัฐ อังกฤษ หรือฝ่ายประชาธิปไตยไม่เอาด้วย แม้จะจ้างให้บริษัทล๊อบบี้ยีส นับสิบล้าน คอยประสานงานร้องขอก็ตาม
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าม๊อบเด็กที่ออกมา มีเจ้าของ และเจ้าของ เริ่มโผล่ขึ้นมาสนับสนุนเรื่อยๆ เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้มีอำนาจในการปกครองประเทศ มิแตกต่างจากฮ่องกง กระแสการต่อต้านในไทยจะรุนแรงขึ้น ในเชิงสถิติ ระลอกใหม่จะเริ่มต้นตั้งแต่17-23 กรกฎาคม ม๊อบ เศรษฐกิจ โควิด การล้มตาย ภัยธรรมชาติ จะยกระดับความรุนแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ยุทธการไวรัสพินาศ ประชาชนพ้นภัย ในเฟสแรก ที่ประกอบด้วย ป้องปราม เยียวยาฟื้นฟูนั้น ได้ดำเนินการมาตามเป้าหมาย จนกลานเป็นอันดับหนึ่งของโลก อารยะประเทศ ต่างชมเชยกันทั่วโลก ยกเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในเฟสกลางนั้น จะเข้าสู่โหมด เก็บเกี่ยว(การเลือกตั้งท้องถิ่น) ปฏิรูปประเทศ และ พัฒนาเศรษฐกิจ แล้วระยะยาว ประเทศจะเข้าสู่แดนศิวิไลซ์
ในระยะกลางทราบดีอยู่แล้วว่า เศรษฐกิจจะตกต่ำที่สุดในประวัติการ เพราะหากเปรียบเทียบช่วงฟองสบู่แตก มีประเทศที่ได้รับผลกระทบ เพียง 3 ประเทศ คือ ไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ ในปี 2540 แต่ครานี้จากพิษโควิดมีประเทศที่ได้รับผลกระทบ ทางเศรษฐกิจถึง188 ประเทศ หนักกว่าสงครามโลกถึง 2 ครั้งที่ผ่านมา
ยุทธการไวรัสพินาศ ประชาชนพ้นภัย ในเฟสกลาง ได้ประเมิณสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะออกมาในรูปแบบนี้ จึงเตรียมการรองรับเพื่อยุติปัญหา และกำหนดตัวบุคคล4 ท่าน ในกลยุทธ์การยืมทัพ และกลยุทธ์การผสมสี สานความสามัคคีไว้ เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤติ ที่หนักที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จึงย้ำเตือนเสมอว่า อย่าเพิ่งปรับครม. ต้องไปพบ 4 ท่าน สถานการณ์จึงจะดีขึ้น ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจะยุติลงด้วยตัวของมันเอง แม้โดยหลักการในระยะกลางจะเห็นพ้องต้องกัน แต่การตั้งแต่พวกของตัวเอง เพื่อปฏิรูปประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจ จะเร่งปฏิกิริยาทางการเมืองเชิงการต่อต้าน จะรุนแรงยกระดับ ปรับปรุงตัวตามเวลาของมัน
ในภายหน้าประเทศจะผ่านวิกฤติที่สาหัสที่สุดไปได้ จะต้องเกิดความสามัคคีจากคนทุกฝ่าย มิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พวกใดพวกหนึ่ง เศรษฐกิจจึงจะดำเนินไปได้ หากกระทำได้ในเฟสกลางไทยจะคงอันดับหนึ่งการฟื้นตัวในยุคโควิดและจะเป็นแบบอย่างไปทั่วโลกที่ปัจจุบัน CNN นิวส์ยอร์กไทม์ ยังทึ่ง และ งง ว่าไทยทำได้อย่างไร
การปฏิรูปประเทศนั้น คือหลัการผสมสี ให้คนทุกฝ่ายมาร่วมมือกัน ด้วยการตั้งสภาขึ้นมาอีกคณะหนึ่ง “สภาปฏิรูปประเทศแห่งชาติ” ที่มีหน้าที่เสนอข้อแก้ไขต่างๆทั้ง ระเบียบวิธีปฏิบัติ เชิงการปฏิรูป เพื่อให้ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ทำการประชุมร่วม เพื่อโหวดยอมรับ หรือไม่ยอมรับข้อเสนอ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 โดย 2 สภาจะร่วมกันกลั่นกลองตามหลักการปฏิรูปประเทศ หัวใจสำคัญคือ จะต้องมีคนกลางที่ทุกสี ทุกฝ่ายยอมรับ มาเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งคณะทำงานเป็นสมัชชาปฏิรูปประเทศ นำหลักคิดการปฏิรูป ประสาน สรรหา บุคคลไม่เกิน350-500คน เข้าสู่สภาปฏิรูปประเทศแห่งชาติ จึงเรียกว่า “ กลยุทธ์การยืมทัพ–กลยุทธ์การผสมสี สานความสามัคคี ”
แล้วจึงจะสามารถเดินหน้าสู่การพัฒนาเศรษฐกิจได้สำเร็จ ไม่ต้องเกิดความขัดแย้ง ทุกฝ่ายจะสามารถนำข้อเสนอ แนวคิดเข้าสู่ สภาปฏิรูปประเทศแห่งชาติ ที่จะมีแกนนำทุกสีเสื้อ เข้าร่วม มีประธาน 1 ท่านที่ทุกฝ่ายยอมรับ มีรองประธานเป็นแกนนำสีเสื้อ จำนวน5-10 คน แค่นี้ประเทศก็จะยุติความขัดแย้ง ความสามัคคีก็จะบังเกิด นี่แหละ…คือความหมายของคำว่า ให้แม่นยำในยุทธศาสตร์ นั้นเอง ด้วยความปราถนาดี
“ รู้จักแผ่นดินถิ่นกำเนิด รู้จักเทิดองค์กษัตริย์ของรัฐถา รู้จักคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา จงรู้ซึ้งคำว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ “
ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
19 กรกฎาคม 2563