โดยในรายงานชิ้นนี้ ได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ใช้ชื่อว่า “Behind-scenes funding of Thailand protests show invisible Western hands” หรือ “เงินสนับสนุนเบื้องหลังการประท้วงในไทย มาจากมือที่มองไม่เห็นชาติตะวันตก” รายงานเปรียบเทียบการประท้วงในกรุงเทพฯ ขณะนี้ กับการประท้วงในฮ่องกงเมื่อปี 2562 ว่ามีความคล้ายคลึงกันใน 4 ประเด็น
…
ประเด็นที่ 1 คือ การชุมนุมส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวของเยาวชนคนรุ่นใหม่ แตกต่างจากการประท้วงของกลุ่ม “เสื้อเหลือง” ที่ต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเขา กับกลุ่ม “เสื้อแดง” ที่สนับสนุนทักษิณ
.
ประเด็นที่ 2 คือ การชุมนุมมีการจัดการอย่างเป็นระบบดี ทำให้ไม่สงสัยเลยว่า ผู้ชุมนุมได้รับเงินสนับสนุนจากบุคคล หรือองค์กรที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ชุมนุมมีอุปกรณ์ป้องกัน ทั้งหมวกนิรภัย แว่นตา และร่ม ซึ่งเป็นเรื่องยากที่นักศึกษาธรรมดาจะระดมทุนจัดหาอุปกรณ์เหล่านี้ได้
.
ประเด็นที่ 3 คือ รูปแบบการชุมนุมในกรุงเทพฯ คล้ายกับการชุมนุมในฮ่องกง ผู้ประท้วงที่ต่อต้านรัฐบาล พยายามยึดพื้นที่สาธารณะ เช่น สถานที่สำคัญ ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง และสถานีรถไฟใต้ดิน โดยมีเป้าหมาย เพื่อดึงดูดความสนใจจากประชาคมโลก ผู้ประท้วงใช้ร่มเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุม และเล่นเกมแมวไล่จับหนู ด้วยการกระจายการชุมนุมในหลายจุดทำให้ตำรวจตามสลายไม่ทัน
.
ประเด็นที่ 4 คือ มีชาวตะวันตกที่ไม่อาจระบุตัวตนได้ เข้าร่วมการชุมนุมในไทยอย่างเปิดเผย และแนะนำให้นักศึกษาจัดตั้งเวที และแผงรั้วกั้น รวมทั้งมีทีมช่างภาพมืออาชีพแทรกตัวอยู่ในฝูงชน เพื่อบันทึกภาพที่สะเทือนอารมณ์ เช่น ผู้ประท้วงคุกเข่าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ และตำรวจที่ถือไม้กระบอง และภาพเหล่านี้จะถูกแพร่ปล่อยให้แพร่สะพัดในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว พวกเขามุงยั่วยุให้ประชาชนทั่วไปเกลียดชังรัฐบาล และผันตัวเป็นผู้ประท้วง
…
นอกจากนี้ ผู้ประท้วงฮ่องกงบางคน ซึ่งรวมถึง โจชัว หว่อง แสดงจุดยืนสนับสนุนการชุมนุมขับไล่รัฐบาลไทยอย่างชัดเจน ทำให้บางคนหวนนึกถึงภาพถ่ายของหว่องกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค เมื่อเดือนก.พ.
.
รัฐบาลไทย และสื่อกระแสหลัก เชื่อว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลร่วมมือกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกที่ใช้กลุ่มเยาวชน เพื่อโค่นล้มระบบการเมืองไทยในปัจจุบัน กองกำลังภายนอกมีเป้าหมาย เพื่อใช้ตัวแทนทางการเมืองที่หนุนตะวันตก เข้าปกครองประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตยตามอย่างชาติตะวันตก
.
วิธีการนี้สอดคล้องกับปฏิบัติการของสหรัฐฯ อย่างที่เคยสนับสนุนให้เกิด “การปฏิวัติสี” ในอดีตสหภาพโซเวียต ตะวันอออกกลาง และอีกหลายชาติ และภูมิภาค เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองของตัวเอง และปล่อยให้ประเทศเหล่านั้นยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ และเสถียรภาพในระดับภูมิภาคและทั่วโลก
.
แต่ยังไม่ชัดเจนว่า คนรุ่นใหม่ของไทย ซึ่งถูกสหรัฐฯ และตัวแทนใช้เป็นอาวุธ จะเข้าใจว่า การปฏิวัติสีไม่ได้สวยงาม หรือสันติอย่างที่วาดภาพไว้
——————————-
แหล่งข่าว