13 มี.ค.61 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thirachai Phuvanatnaranubala” ถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 12 มี.ค.ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้ตอบโต้ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในคดีผู้บริหารบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ลักลอบล่าเสือดำ ว่าเป็นเพียงเสียงจากบุคคลภายนอกเท่านั้น
นายธีระชัย กล่าวว่า แต่ไหนแต่ไรมา ระบบราชการไทยใช้หลัก “คุณพ่อรู้ดี” คือข้าราชการทำทุกอย่างตรงไปตรงมา และข้อมูลหลักฐานในมือเป็นจุดชี้ขาด ดังนั้น เมื่อกระบวนการทางราชการยุติเรื่อง ประชาชนก็จะต้องเอาตามนั้น และครอบคลุมกระบวนการยุติธรรมทุกทอด ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ไปถึงศาล การถือหลักการว่า การทำงานของทางราชการมีความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในตัวเองเช่นนี้ มีความเหมาะสมเฉพาะในภาวะที่ข้าราชการมีความไปตรงมา อย่างไรก็ตาม แนวคิดแบบโบราณเช่นนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาทุจริตได้ง่าย
“ถ้าเมื่อใดมีแรงกดดันทางการเมือง ไม่ว่าจะโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือโดยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ให้ข้าราชการบิดเดือนการทำงานในกระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้น ก็จะมีปัญหาว่าไม่มีระบบการถ่วงดุลและตรวจสอบเท่าที่ควร” นายธีระชัย กล่าว
อดีต รมว.คลัง กล่าวต่อไปว่า ในสมัยนี้ที่มีโซเชียลมีเดียแพร่หลายอย่างกว้างขวาง การยึดถือแนวคิดดังกล่าว ต้องถือว่าตกยุค เพราะประชาชนจะมีการติดตามสถานการณ์ต่างๆ และมีการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่างอิสระ ทางการไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นสมัยนี้จึงควรใช้ภาคประชาชนเข้ามาร่วมมือวิพากษ์วิจารณ์ เป็นตัวถ่วงดุล และเป็นตัวที่คอยติดตามป้องปราบการทุจริตคอร์รัปชั่น แทนที่จะมีแนวคิดปิดกั้น
การเปิดรับฟังการพิพากษ์วิจารณ์ โดยบุคคลที่มีความรู้ ในภาคประชาชนอย่างเต็มที่ จะบังคับให้ส่วนราชการจำเป็นจะต้องมีคำอธิบายในประเด็นต่างๆ อย่างครบถ้วน ซึ่งจะทำให้กระบวนการทำงานของทางราชการมีความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ที่สำคัญกรณีดังกล่าวผู้วิจารณ์ยังเคยเป็นถึงอัยการสูงสุด จึงเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก
“แทนที่จะบอกปัด หรือปิดกั้นการรับฟังความเห็น รัฐบาล คสช.ควรจะเน้นให้ข้าราชการต้องรับฟัง และจัดให้มีคำตอบอธิบายให้กระจ่างทุกกรณี” นายธีระชัย กล่าวย้ำ
(บน) ตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด ตั้งข้อสังเกตกรณีคดีล่าเสือดำ
(ล่าง) กณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ชี้แจงการตรวจ DNA บนมีดที่พบในที่เกิดเหตุคดีล่าเสือดำ
ก่อนหน้านี้เมื่อ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “ตระกูล วินิจนัยภาค” กล่าวถึงกรณีที่ นางกณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ออกมาตอบโต้การให้ข่าวของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ที่ระบุว่า มีดพกและมีดอีโต้ที่ทางตำรวจได้รับมามีการปนเปื้อนสารเคมีที่ จนท.กรมอุทยานฯ ใช้ตรวจ DNA เสือดำ ทำให้การตรวจ DNA บุคคลนั้นทำได้ยาก
โดย นางกณิตา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Kanita Ouitavon” ย้ำว่า ทีมงานนิติวิทยาศาสตร์ของกรมอุทยานฯ ปฏิบัติงานตามหลักวิชาการ สวมถุงมือในระหว่างตรวจสอบ โดยที่มิได้มีการแตะต้องที่ด้ามมีด หรือตัวมีดแต่อย่างใด ดังนั้นมีดที่ได้จากที่เกิดเหตุ DNA ของผู้ใช้มีดนั้นอย่างไรก็ต้องยังคงอยู่ไม่ถูกทำลาย ทางตำรวจสามารถนำไปตรวจสอบซ้ำเพิ่มเติมได้
เรื่องนี้ นายตระกูล ให้ความเห็นว่า ถ้าผมเป็นอัยการเจ้าของสำนวน ผมจะตรวจดู…ตั้งแต่บันทึกการจับกุม บันทึกคำให้การของ ผู้กล่าวหาและพยานทุกปาก บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ หลักฐานต่างๆ บัญชีของกลาง บันทึกคำให้การของผู้ต้องหาและพยานฝ่ายผู้ต้องหา (ถ้ามี)…ให้ละเอียดรอบคอบ ถ้าสงสัยก็เรียกพยานมาซักถามเพิ่มเติมให้สิ้นกระแสความ ถ้าให้ดี ผมไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วยเพื่อให้เห็นสภาพจริง เพราะคดีนี้ผู้ต้องหาต้องต่อสู้ในชั้นที่เป็นตกเป็นจำเลยในศาลแน่ๆ
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ได้ตอบโต้การให้ความเห็นของนายตระกูล เมื่อ 12 มี.ค.ว่า คนที่พูดเขาเป็นอดีตอัยการสูงสุดไม่ใช่หรือ ท่านเป็นอดีตนะ เพราะฉะนั้นก็ต้องให้คนที่เขาทำงานปัจจุบันเป็นคนพูดและเป็นคนพิสูจน์ข้อเท็จจริง ไม่เป็นไรหรอก คนนอกจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่คนที่เขาทำงาน เขามีพยานหลักฐานอยู่ ก็ต้องให้เขาทำของเขาไป ไม่มีใครไปนอกลู่นอกทางได้หรอก
Cr.naewna
https://www.facebook.com/trakul.winit/posts/2148233311859128
https://www.facebook.com/wildbananablue/posts/10212171685028791
สำนักข่าววิหคนิวส์