13 ม.ค.2565 – ดร.เสรี วงษ์มณฑา ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ไม่เข้าใจ และไม่เคยคิดว่านักศีกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (จำนวนหนึ่ง) จึงแสดงตนเป็นปรปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์องค์ใดทรงทำอะไรให้พวกเขาเดือดเนื้อร้อนใจ
พ่อแม่ของพวกเขาเห็นด้วยกับการกระทำของลูกๆเหรอ จึงไม่มีการห้ามปราม พวกเขาไม่เห็นน้ำพระทัยและพระกรุณาขององค์สมาชิกพระราชวงศ์เลยหรือ
เด็กๆพวกนี้ไปเอาความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาจากไหน หรือมาจากอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (บางคน) ที่ครอบงำนักศึกษา
นักศึกษาที่มีความรู้สึกอย่างนี้ สติปัญญาเขาเป็นเช่นไร จึงมองไม่เห็นพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของประเทศไทย
หรือว่าการศึกษาของเราล้มเหลวในการปลูกฝังความรักชาติ รักแผ่นดิน ความกตัญญูรู้คุณพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ทรงงานหนักเพื่อความสุขของพสกนิกรของพระองค์
ข่าวการประกาศไม่ต้อนรับพระราชวงศ์ของสโมสรนักศึกษา มช. เมื่อรับรู้แล้วรู้สึกสลดหดหู่มาก ไม่อยากจะเชื่อว่าความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดกับคนที่สังคมมองว่าเป็นปัญญาชน”
โพสต์ของ ดร.เสรี สืบเนื่องจากเมื่อ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา งานนโยบาย สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ประกาศแสดงจุดยืนในเฟซบุ๊ก” ว่าจะไม่ส่งตัวแทนร่วมรับเสด็จในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งที่ 55 ในวันศุกร์ที่ 14 ม.ค.ที่จะถึงนี้
โดยงานนโยบาย สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่แสดงจุดว่าจะ “ไม่ส่งตัวแทนและไม่ให้การสนับสนุนทุกวิถีทางในการรับเสด็จ” ในงานพิธีพระราชทานปริญญาบัตรทุกครั้งที่เกิดขึ้นในวาระการดำเนินงานของงานนโยบาย สโมสรนักศึกษารุ่นนี้ พร้อมทั้งเสนอให้สมาชิกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสโมสรนักศึกษาคณะและวิทยาลัยต่างๆ ปฏิเสธการส่งตัวแทนรับเสด็จ ด้วยเหตุผลทั้งสิ้น 2 ประการ ได้แก่ 1.เป็นการสนับสนุนระบบศักดินา 2.เป็นรูปแบบหนึ่งของการกดขี่ให้คนไม่เท่ากัน
งานนโยบาย สโมสรนักศึกษา มช. ระบุต่อว่า พิธีการรับเสด็จในการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรนั้นจำเป็นต้องอาศัยคนจำนวนหนึ่งเพื่อไปแสดงออกถึงความรักและเคารพไม่ว่าจะด้วยวิธีการสมัครใจหรือวิธีการบังคับโดยทางอ้อมผ่านปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้ผู้ที่ต้องไปยากที่จะปฏิเสธ การรับเสด็จเป็นการกระทำระหว่างกลุ่มคนสองกลุ่มที่ไม่เท่าเทียมกัน กลุ่มหนึ่งนั้นคือผู้ที่ถูกทำให้อยู่สูงกว่าในขณะที่อีกกลุ่มถูกทำให้ต่ำกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราต่างเกิดมาอย่างเท่าเทียมด้วยเลือดเนื้อเชื้อไขเผ่าพันธุ์เดียวกัน เราต่างเป็น homo sapiens sapiens เหมือนกันทุกคนตามธรรมชาติ
ด้วยเหตุความเป็นจริงอันแท้นี้ทำให้ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะใช้ลดทอนคุณค่าของมนุษย์พวกเดียวกันได้อีกแล้ว ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณีโบราณเหล่านี้จึงเป็นหนทางเดียวที่ใช้กดขี่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การเข้ารับเสด็จจึงเป็นวิธีการหนึ่งของประเพณีโบราณดังกล่าวที่สร้างความเหลื่อมล้ำต่ำสูงให้กลายเป็นเรื่องปกติ ผ่านการหลอกลวงและกล่อมเกลาให้เห็นว่าเป็นเรื่องดีงาม ในขณะที่ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ความเท่าเทียมและสิทธิมนุษย์ชนตลอดจนศักดิศรีของความเป็นมนุษย์ได้ถูกเชิดชูเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้นการเข้ารับเสด็จจึงเป็นการกระทำที่สืบทอดสิ่งตกค้างจากยุคโบราณที่จะดึงมนุษย์หวนกลับสู่ยุคมืด
“การแสดงออกถึงความเท่าเทียมสามารถกระทำได้หลากหลายรูปแบบและมีหลากหลายวิธีที่เราจะยับยั้งหรือยุติความผิดพลาดที่มีมาแต่อดีต หนึ่งในวิถีทางที่เป็นการแสดงออกได้อย่างชัดเจนคือการปฏิเสธเข้ารับเสด็จและยึดมั่นในความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน มีเกียรติ ศักดิศรีและพึงได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอถ้วนหน้ากัน” งานนโยบาย สโมสรนักศึกษา มช. ระบุท้ายประกาศ