.
วานนี้ (5 มกราคม) เกิดเหตุประท้วงใหญ่ในหลายเมืองสำคัญทั่วคาซัคสถาน เหตุราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้น จนทางการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินไปจนถึง 19 มกราคมตามเวลาท้องถิ่น เบื้องต้น อัสการ์ มามิน นายกรัฐมนตรีคาซัคสถาน และสมาชิกรัฐบาลลาออกจากตำแหน่งแล้ว ทางด้าน คาสซิม โจมาร์ท โตกาเยฟ ประธานาธิบดีคนที่ 2 ของคาซัคสถานเร่งประชุมด่วน ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจที่เลวร้ายลงทุกขณะ
.
ล่าสุด สถานีข่าวของรัฐอย่าง Kazinform รายงานว่า โตกาเยฟได้เรียกร้องให้พันธมิตรทางทหารระหว่างรัฐบาลจากองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (Collective Security Treaty Organization: CSTO) ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกอีก 5 ประเทศ อย่าง อาร์เมเนีย เบลารุส คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน และประเทศพี่ใหญ่อย่างรัสเซีย เข้าช่วยเหลือและควบคุมความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ พร้อมทั้งระบุว่ากลุ่มผู้ประท้วงหมายจะทำลายระบบของรัฐ โดยอ้างว่าผู้ชุมนุมประท้วงจำนวนไม่น้อยได้รับการฝึกฝนมาจากต่างประเทศ
.
กระทรวงกิจการภายในของคาซัคสถานรายงาน จากเหตุปะทะกันเป็นเหตุให้เริ่มมีผู้เสียชีวิตแล้ว เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ National Guard อย่างน้อย 8 ราย อีกกว่า 300 รายได้รับบาดเจ็บ นับเป็นเหตุประท้วงที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ
.
โดยในปี 2018 ที่ผ่านมา รายงานด้านสิทธิมนุษยชนของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ระบุว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2015 ที่ซึ่ง นูร์ซุลตาน นาซาร์บาเยฟ ประธานาธิบดีคนแรกที่ปกครองประเทศมานานเกือบ 30 ปี ได้รับเสียงสนับสนุนไปกว่า 98% เต็มไปด้วยความผิดปกติและขาดการแข่งขันทางการเมืองอย่างแท้จริง ก่อนที่นาซาร์บาเยฟจะตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำอย่างกะทันหัน เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา และส่งต่ออำนาจให้กับโตกาเยฟในท้ายที่สุด
.
บทความที่เกี่ยวข้อง:
คาซัคสถานได้ผู้นำคนใหม่ หลังอดีตประธานาธิบดีที่ปกครองประเทศมานานเกือบ 30 ปีลาออก อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/kazakh-president-nursultan-nazarbayev-resign/
.