“บิ๊กตู่”เครียด!
เผย ตื่นมากลางดึก แล้วนอนไม่หลับ
ต้องกินยานอนหลับ
แต่ก็ดื้อยา ต้องเอาธรรมะเข้าข่ม
ยัน จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ด้วยความรับผิดชอบ
ชี้ นายกฯ ไม่ใช่มีหน้าที่ฃเป็นประธานเปิด-ปิดงาน
แต่ต้องรับมือได้ทุกสถานการณ์
เพียงแต่จะพูด หรือไม่พูดเท่านั้นเอง
ลั่น มันไม่มีใครไม่ตายหรอก ตายกันหมด มีชีวิตอยู่ ก็ทำความดีกันบ้าง มองอะไรให้พ้นขากางเกง หรือ มองแค่เท้าตัวเอง
พ้อ ประเทศชาติไม่ใช่ของผม หรือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทุกคน แผ่นดินผืนนี้ จะเปลี่ยนแปลงอะไร จะทำอะไร ก็ต้องดูพื้นฐานและบริบทของประเทศไทย
ยัน ผมไม่เกลียดใคร ความเกลียดจะ
จะตอบสนองมาที่ตัวเราเอง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เปิดงาน “ยกกำลังสองการศึกษาไทย สู่ความเป็นเลิศ” (Thailand Education Eco-System) และการแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนการศึกษาไทย
พล.อ.ประยุทธ์ มีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา และทันทีทีเข้ามายังห้องห้อง Auditorium ซึ่งเป็นสถานที่ในการแสดงวิสัยทัศน์และไม่เห็นกลุ่มสื่อมวลชน เนื่องจากสถานที่ค่อนข้างคับแคบ เจ้าหน้าที่ได้จัดสถานที่ให้ฟังอยู่ด้านนอกห้องประชุม
พล.อ.ประยุทธ์ จึงให้เจ้าหน้าที่มาเชิญสื่อมวลชนให้เข้าไปฟังในห้อง
โดยกล่าวว่า “ สื่อมวลชนเข้ามาฟังเลยหรือไม่. ถ้าไม่เข้ามาก็จะไม่พูดไม่ให้สัมภาษณ์เพราะเรื่องนี้เป็น”ความเป็นความตายของประเทศ”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะ ต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หลายคนถามว่าจะมีไปทำไม เราต้องเตรียมการเพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
การศึกษาถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญเพราะต้องทำคนให้มีความเหมาะสมกับศตวรรษที่ 21
วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดแล้วทั้งวิธีคิดและหลักคิด หลายอย่างยากขึ้น ถ้าไม่แก้ตั้งแต่วันนี้วันข้างหน้าจะหนักยิ่งกว่าเดิม
รัฐบาลต้องการพัฒนาคนในทุกมิติในทุกช่วงวัย ให้มีความพร้อม และแข็งแรงของร่างกาย
เด็กค่อนข้างจะเข้มแข็งน้อยลง
จำเป็นต้องปลูกฝังให้ร่างกายมีความแข็งแรง และเมื่อร่างกายแข็งแรง สมองก็จะแข็งแรงการพัฒนาเจริญเติบโตก็จะมีมากขึ้น
นอกจากร่างกายจะต้องแข็งแรงแล้วจิตใจก็ต้องแข็งแรงด้วย มีจิตสาธารณะมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อผู้อื่น ประหยัด มัธยัสถ์ อดออม โอบอ้อมอารีมีวินัย รักษาศีลธรรม เป็นคนดีของชาติ
มีหลักคิดที่ถูกต้อง มีmind setใหม่ ปรับทั้งหมด และคงไม่ใช่เฉพาะเด็กๆ เท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ต้องปรับด้วยในการเตรียมความพร้อมในการเดินหน้าต่อไป”
อนาคตของพวกเขา คือการเรียนหนังสือให้จบและมีงานทำ คือเป้าหมายของนักศึกษาและเด็กนักเรียนทุกคน
“เราเป็นประเทศที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยสูง วันนี้เราลืมสิ่งเหล่านี้ไปแล้วหรือ ต้องกลับมาทบทวนใหม่ทั้งหมด
ผมถูกสอนมายุคโบราณ ยอมรับว่าวันนี้เลยคิดมาก คิดละเอียดยุบยิบทุกวัน ไม่ได้อยู่เฉยๆ
“นายกฯ ไม่ใช่มีหน้าที่แค่เป็นประธานเปิดและปิดงาน ต้องรับมือได้ทุกสถานการณ์ เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นเอง”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สื่อมวลชนวันนี้ถือเป็นบุคคลสำคัญที่จะสร้างการรับรู้ให้กับสังคมอย่างไร ถ้าเอาแต่การแพร่ข่าวอย่างเดียว ทางนั้นว่าอย่างนี้ ทางนี้ว่าอย่างนั้น ความขัดแย้งจะเกิดอย่างนี้ไปตลอดเวลา
ฉะนั้น ทำอย่างไรจะให้เกิดความสงบให้ได้ มีเสถียรภาพรัฐบาลให้ได้ ไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไม่อยู่ ต้องรู้ว่าจะเกิดอะไรตามมาในขณะนี้ ก็สุดแล้วแต่
ส่วนเรื่องของสภาฯ ฝ่ายนิติบัญญัติก็ว่ากันไป อย่าเอาอะไรมาพันกัน อย่าเอาอำนาจฝ่ายบริหารและตุลาการมาพันกัน มันคนละอำนาจกัน แต่ผมมีหน้าที่ในการประสานทำความเข้าใจ นั่นคือ หน้าที่ของรัฐบาล ไปก้าวล่วงใครเขาไม่ได้ ทุกคนมีกฎหมายทุกตัว
ดังนั้น สื่อมวลชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเผยแพร่ความรู้ เสริมสร้างความเข้าใจสังคมในสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ถ้าจะเสนอข่าวความขัดแย้งอะไร ก็สุดแล้วแต่สื่อ แต่ต้องเสนอสิ่งดีๆ ที่มันเกิดขึ้นด้วย
บางสื่อ บางฉบับ บางคอลัมน์ เอาข้อเท็จจริงมาปรากฏว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำอะไรไปบ้างแล้ว ผมอยากให้มีคอลัมน์เหล่านี้มากยิ่งขึ้น
วันนี้อยากจะบอก คนเขาก็ไม่อยากอ่านเหมือนกัน เพราะเขาบอกความขัดแย้งมันสูง ก็เลยเข้าไปในโซเชียลมีเดีย ก็ไปเจอทางโน้น อีกทาง ตรงนี้จะทำอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ ผมบังคับใครไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แต่ละฝ่ายมีปัญหา แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย หาเป้าหมายว่าต้องการอะไร ช่วงปีนี้ หรือยุทธศาสตร์ 5 ปี ต้องการอะไร ทั้งครู เด็กนักเรียน สถาบันการศึกษาต้องการอย่างไร และมองย้อนหลังว่าสิ่งที่ทำในวันนี้จะต้องอะไรในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเป็นการเดินหน้าทุก 1 ปี และ 5 ปี เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้
บางทีพูดหลักการคนไม่เข้าใจ ซึ่งทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุกคนไม่ชอบอ่านหนังสือยาวๆ ไม่ชอบฟังอะไรนานๆ สิ่งเหล่านี้เป็นโลกยุคใหม่ อ่านหนังสือ 3 บรรทัด และอ่านโซเชียลมีเดีย 3 บรรทัด แต่วิพากษ์วิจารณ์กันได้เยอะ ใส่ไปในโซเชียลมีเดีย ฝ่ายรัฐลองเปิดดูบ้าง ข้อมูลที่ใส่ไปไม่เห็นมีใครอ่าน มีคนแชร์นิดเดียว ฉะนั้น ต้องช่วยกันพูดและทำความเข้าใจ
“ประเทศชาติไม่ใช่ของผม หรือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทุกคน แผ่นดินผืนนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไร จะทำอะไรก็ต้องดูพื้นฐานและบริบทของประเทศไทยด้วย
สิ่งสำคัญจะทำอย่างไรถึงจะยกระดับการศึกษาของประเทศให้ได้ การศึกษาเราไม่ใช่ล้มเหลว ไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่อยู่ที่การบริหารจัดการให้ทันต่อโลกยุคที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามา
“มันยิ่งกว่าโควิด-19 อีก โควิด-19 ว่าร้ายแล้ว ต่อจากนี้ไปมันจะร้ายกว่านี้อีก ฉะนั้น ทุกคนต้องเข้าใจให้ดีว่าจะทำอย่างไรให้สังคมช่วยกันที่จะลดผลกระทบอันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องการศึกษาหลายคนบอกว่าอยากเอาแบบประเทศฟินแลนด์ ไม่ต้องไปโรงเรียน เด็กมีความสุข เราทำอย่างนั้นได้หรือไม่ ไปคิดดู แต่ตนคิดว่ายังไม่ถึงเวลานั้น ลำบาก เพราะหลายอย่างเรายังมีปัญหามากในขณะนี้ ถ้าเราสามารถช่วยแก้ปัญหาช่วงนี้ไปก่อน ปัญหาอื่นยังไม่ใช่ความเป็นความตายของประเทศ ต้องแก้ปัญหาที่มีอยู่ให้ได้ก่อน อย่างอื่นก่อนแก้ไปตามระบบ ระเบียบ ขั้นตอน ผมไม่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น
ต่างประเทศเขาเคยเกิดปัญหาขึ้นมาก่อน แต่เขาแก้ได้ด้วยความสมัครสมานสามัคคี เคยรบกันมาเยอะตายเป็นล้านคน แล้วเขาก็เลิกรบกัน เลิกขัดแย้งกัน เพราะเขาเห็นว่าจะเป็นอย่างนั้น หลายเรื่องของเราก็มีบทเรียนไปแล้ว และวัฎจักรเหมือนอย่างเดิมหมด
ถ้าเรายังเข้าไปในวัฎจักรก็กลับมาที่เก่า กลับไปเหมือนที่เกิดขึ้น กลับไปเหมือนที่ผมมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งผมไม่เคยคิดอะไรทั้งสิ้น
“หน้าที่อย่างเดียว คือ ตราบใดที่ผมยังเป็นนายกฯ จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ในการแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้สงบมีเสถียรภาพ และผมเป็นนายกฯรับผิดชอบทุกอย่างอยู่แล้ว “
นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือความกลัว กังวลที่ผมมีต่อเยาวชนของชาติในเวลานี้และไม่ว่าเวลาไหนเพราะเขาคืออนาคตของพวกเรา
และพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปในวันข้างหน้า เด็กมัธยม นักศึกษา อุดมศึกษา อาชีวะ เราจะทำอย่างไรกับเขาระบบการศึกษามีหลายอย่าง
ไม่ว่าจะโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติมาตรฐานยังไม่เท่ากัน แต่เราต้องทำพื้นฐานให้ดีทุกคนมีหุ้นส่วนในทุกเรื่องทั้งสิ้นนายกฯรับผิดชอบอยู่แล้ว ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันในการสร้างเยาวชนของไทยวันข้างหน้าเข้าศึกษาจบ มีอนาคต มีงานทำ เพราะวันข้างหน้าเขาก็ต้องกลับมาเป็นผู้นำในอนาคตของเขา
แต่ถ้าไม่เตรียมวันนี้ อนาคตจะไปถึงหรือไม่ มันจะก้าวกระโดดไปตรงนั้นเลยได้หรือไม่
แต่ตอนนี้มันอยู่ขั้นตอนตรงนี้อยู่ ขั้นตอนของประเทศชาติที่กำลังต้องพัฒนาต่อไปและต่อไปเรื่อยๆ ภายใต้สิ่งที่เราเรียกว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทุกคนมีส่วนร่วมทั้งสิ้นในการทำให้ตระหนักเรานี้ยังคงอยู่ในประเทศไทย
แล้วนอกจากประวัติศาสตร์ที่อยากให้เด็กเรียนรู้เพิ่มขึ้นแล้ว อยากให้เพิ่มเรื่องศาสนาและศีลธรรม รวมถึงเติมเรื่องกฎหมายพื้นฐานด้วย ไม่อย่างนั้นทุกคนก็สนใจแต่รัฐธรรมนูญที่มีเพียง 200 กว่ามาตรา จนลืมไปแล้วว่ากฎหมายลูกมีเป็นพันๆซึ่งเหล่านั้นละเมิดไม่ได้ ต้องสอนให้คนคิดเป็นกระบวนการในหัว
“ควรคิดอย่างเดียวคือ คิดในสิ่งที่เกิดประโยชน์ ถ้าไม่เกิดประโยชน์จะไปคิดทำไม คิดไปมันก็เปลืองสมอง ร้อนรนอยากได้นี่อยากได้โน่นเอามา
ถามว่าแล้ววันนี้เราได้อะไรมาแล้วบ้างทุกคนลืมไปแล้วว่าเราได้อะไรมาแล้วบ้างอยากได้มากขึ้นๆ ทุกวัน ตื่นมาก็อยากได้มากขึ้น นั่นคือสิ่งที่อันตรายกับประเทศของเราในอนาคต
ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่อยพัฒนา ถ้าทุกคนเห็นว่านี่คือความเร่งด่วนของประเทศไทย นี่คือปัญหาหลักที่สำคัญของประเทศไทย ในการที่จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคตของเขา
เรากำลังทำเพื่ออนาคตอยู่ คงเหลืออยู่กันไม่กี่คนแล้ว โดยเฉพาะผม มันไม่มีใครไม่ตายหรอก ตายกันหมด มีชีวิตอยู่ก็ทำความดีกันบ้าง อย่ามองอะไรไม่พ้นขากางเกงตัวเอง ไม่ใช่ตื่นขึ้นมามองแค่เท้าตัวเอง มันไปไม่ได้ ต้องมองไปข้างหน้าว่าจะเหยียบอะไรหรือเปล่า นั่นคือการมองตัวเองก่อนที่จะไปทำเพื่อคนอื่น” นายกฯกล่าว
นายกฯ กล่าวว่า เคยตื่นขึ้นมากลางดึก ตี 2 ตี 3 แล้วนอนไม่หลับหรือไม่ หลายคนก็เคยเจอมาแล้ว กินยานอนหลับวันละ 2 เม็ด กินมาก ก็ดื้อยา ต้องเอาธรรมะเข้ามาข่ม
นับ 1 ถึง 10 แต่ผมเสียนิสัยนับถึง 2 ก็ไปแล้ว ปล่อยต้องเพิ่มพยายามอีกหน่อยใคร
แต่ผมไม่เกลียดใคร ความเกลียดจะเป็นสิ่งที่จะตอบสนองมาที่ตัวเรา คนที่เราเกลียดเขา ไม่รู้หรอกว่าเราเกลียดเขา แต่บาปมันอยู่ที่เราควรได้ผมให้อภัยทุกคนได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามทำให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด หลายอย่างมันต้องเกิดขึ้นแน่นอน หลายอย่างมันสะสมมานาน ก็ต้องแก้กัน
วันนี้ หลายอย่างต้องคิดว่าหลายอย่างวันนี้มาจากความโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ และจะเปิดหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ คนทำความผิดก็จะมีออกมาเรื่อยๆ และเราก็ต้องมาแก้กัน ถ้าไม่เปิดออกมาก็แก้กันไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะแก้ยังไง นี่คือสิ่งที่ตนคิด
นายกฯกล่าวว่า วันนี้ผมก็พูดไปตามเอกสารที่ท่านให้มาบ้างแล้ว ฉะนั้นสื่อเอาไปเผยแพร่ด้วย เมื่อกี้ก็น้อยใจอยู่เหมือนกัน ถ้าสื่อไม่เข้ามาฟังมีเรื่องแน่ เชิญเข้ามาแล้วไม่มาแล้ว ไปรอถามการเมืองข้างนอก แล้วได้อะไรขึ้นมาหรือไม่
การศึกษาจะดีขึ้นหรือไม่แต่ต้น ไปก้าวล่วงทำไม่ได้อยู่แล้วในเมื่อท่านเป็นฐานันดรที่4 ก็เป็นให้ได้แล้วกัน นักข่าวดีหรือไม่ดี ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมทำ แต่ท่านต้องสร้างแรงศรัทธาตรงนี้ให้ได้ทุกคน
โดยเฉพาะข้าราชการต้องเป็นสะพานให้ประชาชนเหยียบย่ำข้ามแม่น้ำไปข้างหน้าเพื่อนำพาประชาชนไปสู่จุดมุ่งหมายที่เราต้องการ โดยผ่านอุปสรรคมากมาย นั้นคือความภูมิใจของเรา
เมื่อเราตายไปจะได้มีคนชื่นชม ตอนที่อยู่ก็ไม่ค่อยมีคนชื่นชมอยู่แล้ว แต่ลูกหลานเราจะปลื้มใจ ตนพูดมากก็ไม่ได้พูดน้อยก็ไม่ดี แต่ตนพยายามพูดไม่สร้างความขัดแย้ง เพราะมันขัดแย้งกันอยู่แล้ว
แต่สิ่งสำคัญเศรษฐกิจจะทำอย่างไรต่อไป ไม่มีรัฐบาลแล้วจะทำอย่างไรต่อไป แต่รัฐบาลตนอยู่ได้โดยไม่มีการทุจริต เพราะนายกฯ เป็นอย่างนั้นอยู่ตนไม่เคยมีการทุจริตกับใครทั้งสิ้น อยู่มา 5 ปีพูดได้ 100% ซึ่งเป็นเรื่องของการตรวจสอบ ทุกคนก็ต้องระวังของท่านด้วย ไม่ใช่ตนไม่ไว้ใจ ไม่มีก็แล้วไป
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายทนายกฯ ได้ถามว่ามีอะไรจะถามหรือไม่ จะไม่ตอบข้างนอกเข้ามาให้ทุกคนได้เห็นว่าท่านถามกันยังไง “ถามสิ ไม่แน่จริงนี้หว่า”
เวลาคุณถาม ผมเอาคำตอบคุณ เอาคำตอบของผมไปออกอย่างเดียว แต่ไม่เอาคำถามของคุณไปออก แปลกดีเหมือนกัน”