วันนี้ (9 ธ.ค.) เมื่อเวลา 16.20 น. ที่หน้าศาลากลางจังหวัดสงขลา ได้มีกลุ่มประชาชนในนามเครือข่ายจะนะอาสาเพื่อพัฒนาถิ่น ประมาณ 150 คน เข้ายื่นหนังสือต่อหัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมอ่านแถลงการณ์ สรุปใจความสำคัญได้ว่า
กลุ่มผู้สนับสนุนที่มีมากกว่า 3,000 คน ที่เป็นเครือข่ายจะนะอาสาเพื่อพัฒนาถิ่น ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่เข้าใจและมุ่งมั่นให้เกิดการพัฒนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของชาวจะนะในอนาคตข้างหน้า ย้ำว่าวันนี้ปัญหาความยากจน ไม่มีงานทำ ขาดรายได้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ลำบาก เป็นปัญหาของพื้นที่อย่างแท้จริง ทำให้ลูกหลานต้องว่างงาน อีกส่วนหนึ่งจำเป็นต้องเดินทางไกลไปประกอบอาชีพ ครอบครัวไม่เคยอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้า
พร้อมให้ข้อมูลว่า เครือข่ายเชื่อมั่นว่าการทำงานอย่างหนักที่ผ่านมา ประชาชนมากกว่าร้อยละ 80 เห็นด้วย แต่ไม่เป็นผู้ที่มีปากมีเสียง เพราะต้องการเห็นการพัฒนาเกิดขึ้นจริง และพร้อมเดินหน้าไปกับการพัฒนาที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านในพื้นที่มีเพียงจำนวนน้อย ไม่เกินร้อยละ 10 แต่มีเสียงดังเพราะ NGOs นักการเมือง และสื่อบางสำนักเลือกข้าง และสื่อสารในสังคมเข้าไปผสมผสานกัน ทำให้ข้อมูลบิดเบือนไม่เป็นความจริง และจะทำให้ขาดโอกาสการพัฒนาไปในที่สุด
พร้อมกันนี้ยังได้มีการเรียกร้อง 5 ข้อถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
1. ให้กลุ่มจะนะรักษ์ถิ่นกลับมาพูดคุยกันในพื้นที่ โดยรัฐบาลมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคนกลางในการทำหน้าที่พูดคุยให้เข้าใจกันทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกร่วมกันให้ได้
2. ให้การพัฒนาที่เป็นอยู่ดำเนินการต่อไป เพราะเป็นหน้าที่ที่ทุกฝ่ายจะต้องดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง
3. ให้ทุกฝ่ายนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน ตรงไปตรงมา อย่าบิดเบือน หรือสร้างข้อมูลเท็จเพื่อให้สังคมใหญ่เข้าใจผิด มองปัญหาที่เป็นจริง นำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาพื้นที่
4. เรียนเชิญกลุ่มการเมือง สื่อมวลชน รัฐบาล ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นแบบรอบด้าน หรือให้โอกาสกลุ่มคนเห็นด้วยได้มีเวทีการนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งด้วย
5. ขอให้หยุดใช้เด็ก สตรีและคนชรา เป็นเครื่องมือการทำงาน มุ่งเน้นการสร้างความสามัคคีของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จะนะ เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า
ทั้งหมดเป็นข้อเรียกร้องที่เครือข่ายฯ ต้องการสื่อสารไปยังหน่วยงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลอีกฝ่ายหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับกระแสข่าวที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และขอโอกาสให้รับฟัง ลงพื้นที่จริง เพื่อให้สัมผัสชีวิต และความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชน ทั้งนี้เพื่อให้อนาคตลูกหลานได้มีที่ยืนในสังคม และเกิดการพัฒนาประเทศชาติต่อไป