น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์แนวหน่าระบุว่า คำพูดที่ว่า “ รวยกระจุก จนกระจาย” เป็นคำพูดที่ผู้คนในบ้านเมืองของเราคุ้นหูกันมาตลอดในทุกวันนี้ แต่ในขณะนี้ได้มีคำพูดอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาเพิ่ม คือคำพูดที่ว่า “ อำนาจกระจุก ความทุกข์กระจาย” ซึ่งเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีเศษที่ผ่านมานี้เอง
เพราะฉะนั้นในขณะนี้ บ้านเมืองของเราจึงปกคลุมไปด้วย “รวยกระจุก จนกระจาย” และ “อำนาจกระจุก ความทุกข์กระจาย” เผชิญอยู่กับผู้คนในบ้านเมืองของเราอย่างน่าใจหาย เพราะไม่รู้ว่าความสุขที่ทุกคนอยากมีอยากได้นั้น เมื่อไรมันจะมาถึงสักที
และจะทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นเรื่องอย่างนี้ไปได้
“รวยกระจุก จนกระจาย ” นั้น คนที่ร่ำรวย มีกินมีใช้ มีบ้านอยู่อาศัย มีชีวิตประจำวันที่ไม่เดือดร้อน ได้แก่ คนเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นในบ้านเมืองที่ได้ประโยชน์ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศที่กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคต่างๆนั้น ยังอยู่ในสภาพฝืดเคือง อดอยาก ไม่มีกินมีใช้ บ้านช่องที่อยู่อาศัยแทบไม่มีเป็นของตัวเอง มิหนำซ้ำยังเป็นหนี้เป็นสินกันท่วมหัว ติดพันไปถึงลูกหลาน
นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ต่างรู้ดีในเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนี้ ว่ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผู้ยึดกุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้ได้บอกว่า เศรษฐกิจบ้านเรากำลังดีขึ้น ฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ฟื้นตัวได้เกินคาด และกำลังโลดไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0”
แต่สภาพการณ์ทางสังคมที่ปรากฏให้เห็นจะจะกับตาก็คือ แม้กลุ่มธุรกิจทั้งใหญ่และเล็กยังบ่นกันอู้ว่ายอดขายหดตัวลงเรื่อยๆ เพราะกำลังซื้อของผู้คนไม่มีเหมือนก่อน คนตกงาน ว่างงาน เพราะถูกเลิกจ้างมีให้เห็นเรื่อยๆ แม้กระทั่งสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะในช่วงสามปีเศษที่ผ่านมายังคงทรุดต่อเนื่อง
สามปีเศษที่บ้านเมืองจะดูเหมือน “อำนาจกระจุก ความทุกข์กระจาย” กำลังปกคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่มีวี่แววว่าผู้คนส่วนใหญ่จะมีความสุขจริงๆทั้งๆที่ฝ่ายยึดกุมอำนาจในขณะนี้บอกว่าจะคืนความสุขให้
ไปไหนมาไหนเวลานี้จึงเห็นแต่ผู้คนส่วนใหญ่มีความเครียดให้เห็น ทั้งทางสีหน้าและอาการที่แสดงออก ไม่ผิดอะไรกับ “ความทุกข์ที่กระจาย” ออกไปทั่ว
อยากให้พวกถืออำนาจที่กระจุกตัวกันอยู่ขณะนี้ ได้หาผลวิจัยของ “สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ” ซึ่งได้ทำการสำรวจและวิจัยดัชนีความเครียดของคนไทย และมีสื่อนำมาลงไว้ให้ได้อ่านกันเมื่อไม่กี่วันมานี้ด้วย จะได้รู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมืองขณะนี้เขาสุขหรือทุกข์ และมีความเครียดในเรื่องอะไรบ้าง
และอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้องเครียด
ผลสำรวจและวิจัยดังกล่าว ขอยกมาเป็นตัวอย่างให้เห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับ “ระดับความรู้สึก” ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และเรื่อง “ปัจจัย” ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเครียดกับชีวิต ดังต่อไปนี้
เกี่ยวกับระดับความรู้สึก
– ไม่มีความสุขเลย เกิดบ่อย 28.72% เกิดครั้งคราว 50.37% และไม่รู้สึก 20.91% รวมเป็น 100%
– รู้สึกเบื่อหน่าย เกิดบ่อย 29.74% เกิดครั้งคราว 52.23% และไม่รู้สึก 18.03% รวมเป็น 100%
– ไม่อยากพบปะผู้คน เกิดบ่อย 45.72% เกิดครั้งคราว 21.65% และไม่รู้สึก 32.62% รวมเป็น 100%
– รู้สึกหมดกำลังใจ เกิดบ่อย 36.25% เกิดครั้งคราว 35.50% และไม่รู้สึก 28.25% รวมเป็น 100%
– รู้สึกตนเองไม่มีคุณค่า เกิดบ่อย 46.28% เกิดครั้งคราว 17.94% และไม่รู้สึก 35.78% รวมเป็น 100%
เกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้รู้สึกเครียดเรื่องเศรษฐกิจ
– สินค้าราคาแพง 62.84% ค่าครองชีพสูง 45.23% สภาวะเศรษฐกิจ 42.84% ปัญหาหนี้สิน 41.82% และอื่นๆ 0.45%
ทั้งหลายที่ยกมาเป็นเรื่องของ “ระดับความรู้สึก” และ “ปัจจัยสำคัญ” ในการทำให้ผู้คนในบ้านเมืองเกิดความเครียดในชีวิตของตนเอง จากผลของการสำรวจและวิจัย ของสถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆของบ้านเมืองขณะนี้ต้องใส่ใจ และรับฟัง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานของตนบ้าง เพราะการทำงานแก้ไขปัญหาต่างๆของบ้านเมือง ตามที่ตั้งใจจะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆให้ดีขึ้นนั้น การรับฟังเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะในบางเรื่องบางราวนั้นไม่เคยรู้เคยทำมาก่อนก็ได้
ขอให้ระลึกถึง “โคลงกระทู้สุภาษิต” ที่ยกมาให้ฟังข้างล่างนี้ด้วย ว่าควรทำตนอย่างไรในการทำงาน หรือในการปฏิบัติตนรับฟังอย่างไร ดังนี้
“ตักน้ำรดสากสิ้น หลายถัง
สากบ่ซึมซับและขัง น้ำไว้
เฉกบุตรบ่ใฝ่ฟัง โอวาท
สอนเท่าสอนฤาได้ ดุจข้อ คำสอน”
โคลงกระทู้สุภาษิตบทนี้เหมาะกับสถานการณ์จริงๆในบ้านเมือง ภายใต้การบริหารงานแบบ “อำนาจกระจุก ความทุกข์กระจาย” ผสมผสานกับสถานการณ์ “รวยกระจุก จนกระจาย” ที่กำลังไปด้วยกันขณะนี้
สำนักข่าววิหคนิวส์