“บิ๊กป้อม” ยันจับแล้ว 2 ผู้ต้องสงสัย “ไอเอส” ลอบเข้าประเทศ ยอมรับมีแนวโน้มพยายามเปิดสาขาในไทยเหมือนที่อื่นๆ แต่ขอให้รอผลสอบให้ชัด ขณะที่ กอ.รมน. ภาค 4 ปูดแค่“นักเลงคีย์บอร์ด” ไม่เกี่ยวก่อการร้าย
เมื่อวันที่ 18 เมษายน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกล่าวถึงกรณีตำรวจมาเลเซียระบุมีกลุ่มสมาชิกรัฐอิสลามหรือไอเอส 4 คน หลบหนีเข้าพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยว่า จากรายงานระบุเป็นคนมาเลเซีย 3 คน คนไทย 1 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ 2 คน หนีกลับไปมาเลเซีย 2 คน เจ้าหน้าที่กำลังติดตามอยู่ และสอบสวน 2 คนที่ถูกจับได้จะใช่ไอเอสหรือไม่ ทั้งนี้ คงมีความพยายามเข้ามา แต่เจ้าหน้าที่ของเราป้องกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนไทย ไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกล่มไอเอส เชื่อว่าคงไม่ถึงขนาดะตั้งสาขาในประเทศไทย แต่มีแนวโน้มจะทำ เหมือนที่พยายามทำทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำชับเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบอย่างละเอียดและป้องกันระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องไอเอส และการก่อการร้ายที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
สำหรับประเด็นดังกล่าวนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากสำนักข่าวมาเลย์เมล์ของมาเลเซียรายงานเมื่อวันที่ 16 เมษายนอ้างถึงนายโมฮัมหมัด ฟูซี ฮารุน ผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซียเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่มาเลเซียคงติดตามผู้ต้องสงสัย 4 คน จากผู้ต้องหาทั้งหมด 10 คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอส และวางแผนจะก่อเหตุลักพาตัว โจมตีศาสนสถานของศาสนาอื่นที่มิใช่ศาสนาอิสลาม และสังหารตำรวจ โดยตำรวจมาเลเซียจับกุมสมาชิกกลุ่มไอเอสได้ 6 คนแล้วในรัฐยะโฮร์ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ 4 คนหลบหนี โดยมี คนไทย 1 คนคือนายอะแว แว-เอยา อายุ 37 ปี ชาวจ.นราธิวาส และเป็นหัวหน้ากลุ่ม นายมูฮะหมัด ไฟซาล มูฮะหมัด ฮานาฟี อายุ 29 ปีกับนายมูฮะหมัด ฮานาฟี เยาะห์ อายุ 51 ปี และนายนอร์ ฟาร์ฮัน โมห์ อิซา วัย 31 ปี ต่อมามีการออกหมายจับทั้งหมด เพราะถือเป็นบุคคลอันตรายต่อความมั่นคงแห่งชาติ
ในเรื่องนี้พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค4) ส่วนหน้าเปิดเผยว่า หลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลดังกล่าวสั่งการให้กองทัพภาค 4 ตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่มาเลเซียออกประกาศหมายจับคนร้าย 4 ราย ซึ่ง พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 สั่งให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่หาข้อมูล กระทั่งพบว่า บุคคลดังกล่าวตามหมายจับทางของการมาเลเซียเป็นคนไทยจริงคือ นายอะแว แวเอยา มีภูมิลำเนาอยู่ในอ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แต่จากการตรวจสอบพฤติกรรมอย่างละเอียดแล้ว พบว่าบุคคลดังกล่าวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ หรือเป็นแกนนำขบวนการไอเอส หรือการก่อเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพียงแต่มีพฤติกรรมเป็นนักเลงคีย์บอร์ด คุยโม้โอ้อวดทางสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างการยอมรับจากเครือข่ายหรือบุคคลที่รู้จัก ซึ่งแม่ทัพภาค 4 ได้รายงานให้ผู้บัญชาการทหารบกทราบแล้ว เพื่อประสานแจ้งไปยังมาเลเซีย
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ยืนยันด้วยว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานความมั่นคงตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบการเคลื่อนไหวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เป็นเรื่องภายในประเทศ ยังไม่พบการสนับสนุนการก่อเหตุจากกลุ่มขบวนการนอกประเทศ
อีกด้านหนึ่ง มีความเคลื่อนไหวชุดปฎิบัติการข่าวพิเศษ ฉก.ทพ.4811 พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยปฎิบัติการพิเศษร่วม จ.นราธิวาส กองกำลังกรมทหารพราน 46 สนธิกำลัง 70 นาย เข้าตรวจสอบพื้นที่ต้องสงสัยเป็นแหล่งพักพิง กลุ่มผู้ไม่หวังดีบนเทือกเขาตะเว บ้านดอเฮะ ม.3 ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส หลังนายเจ๊ะฮามิ เจ๊ะอาลี ซึ่งถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 11 เมษายนให้การยอมรับเป็นสมาชิกแนวร่วมของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ทำหน้าที่ส่งเสบียงอาหาร โดยเจ้าหน้าที่เดินเท้าไปตามสวนยางพาราผ่านเนินที่สูงชันประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงเป้าหมาย ทั้งนี้ จุดดังกล่าวเป็นพื้นที่โล่งมีร่องรอยก่อไฟประกอบอาหาร นอกจากนี้ ห่างไป 4 เมตร เจ้าหน้าที่พบกระเป๋าสีน้ำเงิน 1 ใบ ภายในมีกางเกง เสื้อ เปลสนาม ผ้าพันคอและเชือก ส่วนกระสอบปุ๋ยอีก 2 ใบตรวจสอบพบหัวแก๊สและแก๊สที่บรรจุใส่ไว้ในกระป๋อง ซองใส่กระสุน เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมเก็บลายนิ้วมือแฝง ดีเอ็นเอ เพิ้อนำผลตรวจไปเปรียบเทียบกับบุคคลในแฟ้มคดีความมั่นคงว่าเป็นกลุ่มใด คาดว่าจะมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 10 คน
ด้าน นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงปาดีกล่าวหลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ว่า หลังทหารพรานตรวจพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ไม่หวังดีบนเทือกเขาตะเวใน อ.สุไหงปาดี ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายให้เข้มงวดดูแลความปลอดภัย โดยเฉพาะฐานปฏิบัติการชั่วคราวและจุดตรวจที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ให้เพิ่มความเข้มมาตรการในการปฏิบัติหน้าที่และมีความพร้อมตอบโต้กลุ่มผู้ไม่หวังดีทุกเมื่อ
Cr.naewna
สำนักข่าววิหคนิวส์