ทนาย “บุญถาวร ปัญญามณีโชติ”ลั่นต้องจัดหนักยุบพรรค ดำเนินคดี กับนักการเมืองที่ต่อต้านรัฐธรรมนูญ ชี้ถือเป็นภัยความมั่นคง
เมื่อวันที่ 4 เม.ย.นายบุญถาวร ปัญญามณีโชติ ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ประชาธิปไตย ( อังกฤษ:democracy ) เป็นระบอบปกครองแบบหนึ่ง ซึ่งการบริหารอำนาจรัฐ มาจากเสียงข้างมากของพลเมืองผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนด้วยตนเอง หรือผ่านผู้แทนที่เลือกไปใช้อำนาจแทน ก็ประชาธิปไตยยังเป็นอุดมคติที่ว่า พลเมืองทุกคนในชาติร่วมกันพิจารณากฏหมาย และการปฎิบัติของรัฐและกำหนดให้พลเมืองทุกคน มีโอกาสแสดงความยินยอมและเจตนาของตนเท่าเทียมกัน
“รัฐธรรมนูญ” ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 5
“…รัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฏหมาย กฏหรือข้อบังคับหรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้..” เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้น เป็นตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ก่อนมีการประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญ มีการยกร่างและนำไปให้ประชาชนคนทั้งประเทศลงประชามติ ว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ตามวิถีทางประชาธิปไตย ปรากฏว่าประชาชนเสียงข้างมากยอมรับ”รัฐธรรมนูญ”และตกลงยินยอมให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทยตามหลักประชาธิปไตยทุกประการ
วันนี้..นักการเมืองที่ได้รับเลือกจากประชาชน คนไทยทั้งประเทศให้เข้ามาทำหน้าที่ เป็นตัวแทนในการใช้อำนาจแทน ตามหลักการประชาธิปไตยกลับมาแสดงความคิดเห็นว่า”รัฐธรรมนูญ”เป็นกฏหมายที่ไม่เป็นธรรม และไม่ชอบธรรม ถือว่านักการเมืองและพรรคการเมือง ที่ออกมาแสงความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขขัดต่อกฏหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 โดยชัดแจ้งแล้ว
**หากมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงๆจังๆต้องดำเนินคดียุบพรรค และดำเนินคดีกับนักการเมืองทุกคน ที่ออกมาพูดต่อต้านรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำความผิดและภัยต่อความมั่นคงของรัฐตามกฎหมาย**
นักการเมืองที่ดีต้องมีจริยธรรมและคุณธรรม ยึดหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยเคร่งครัด และอย่าไปแสดงความคิดเห็น ขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชน ที่ต้องการความสงบเรียบร้อย และนักการเมืองจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมจริยธรรมทางการเมือง ที่จะต้องยึดหลักการและปฎิบัติตน เป็นคนที่มีคุณภาพให้สมกับประชาชนเลือกให้เป็นผู้แทนมาใช้อำนาจแทนประชาชน มิใช่ไปยึดหลักประโยชน์ส่วนตัว และอย่าให้ประชาชนที่เขามอบอำนาจให้เป็นตัวแทนมองว่า”นักการเมืองคือนักแสวงหาอำนาจ”เมื่อได้อำนาจที่ประชาชนมอบให้แล้ว”หลงอำนาจ”จนลืมความถูกต้องชอบธรรม
ประเทศไทยผ่านวิกฤตทางการเมืองมาหลายครั้ งหลายคราแต่ก็สามารถแก้ปัญหาได้ทุกครั้งมาโดยตลอด ปัญหาที่เกิดไม่ได้จากระบบกษัตริย์หรือการปกครองประชาธิปไตย แต่เกิดจากนักการเมืองขาดจิตสำนึกในความเป็นนักการเมืองที่เปี่ยมไปด้วยประชาธิปไตยในอุดมคติที่ดีเท่านั้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้โดยง่าย เพียงแค่ว่าที่.สส.จำนวน 500 คนที่เป็นตัวแทนของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ต้องยอมรับความจริงที่เป็นความจริงอยู่ในปัจจุบัน โดยประการแรกต้องยอมรับรัฐธรรมนูญ และอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560และดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ให้เป็นตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ .2560 โดยเคร่งครัด
นักการเมืองต้องยอมรับกติกาบ้านเมือง และอย่าไปทำลายเจตนารมณ์ของประชาชน ที่ต้องการความสงบสุขและสันติสุขและประการที่สองอย่าคิดล้มล้างและเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศโดยเด็ดขาด ให้ยึดหลักเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้งและยึดมั่นในการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะต้องแสดงออกและมีเจตนาที่จะดำรงไว้ซึ่ง” ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “และยอมรับกติกาและการกระทำของมติชนเสียงข้างที่มีความมุ่งหมายให้เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญอันเป็นกฏหมายสูงสุดก็เท่านั้น
“ นักการเมืองกลับตัวกลับใจเถอะครับ เพื่อชาติบ้านเมืองและเพื่อความสงบสุขของสังคม และประเทศชาติอันเป็นความมุ่งหวังเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อให้เกิดสันติสุขอย่างที่แท้จริง และอย่าก่อปัญหาและสร้างปัญหาและก่อให้เกิดวุ่นวายต่อไปอีกเลย”
นักการเมือง คือ นักแสวงหาอำนาจ@ขอให้ใช้อำนาจของประชาชนที่มอบให้อย่างมีสติและเป็นไปตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยและความชอบด้วยรัฐธรรมนูญด้วย “ ยุติความขัดแย้งและยอมรับความจริงที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ” …
สำนักข่าววิหคนิวส์