วันที่ 18 ต.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ รมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมว่า พรรคได้ติดตามสถานการณ์การเมืองโดยใกล้ชิดและมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์บ้านเมืองเช่นเดียวกับประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่มีผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งพรรคมีจุดยืนว่า 1.พรรคยึดมั่นต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นอุดมการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมา 2. พรรคเห็นว่าการแก้ปัญหาทางการเมืองในปัจจุบันควรใช้แนวทางสันติไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะโดยฝ่ายใด 3. พรรคเห็นว่า ทางออกของสถานการณ์ทางการเมืองควรจะมีการใช้รัฐสภาเป็นเวทีหาทางออกให้กับประเทศภายใต้การรับฟังและการแสวงหาความร่วมมือร่วมใจ และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ทั้งสส.รัฐบาล ฝ่ายค้าน และตัวแทนของกลุ่มผู้ชุมนุมรวทถึงที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า พรรคมีความเห็นว่า รัฐบาลควรเป็นเจ้าภาพในการเปิดสภาสมัยวิสามัญ เพื่อให้รัฐสภาเป็นเวทีหาทางออกของปัญหาให้กับประเทศได้ อย่างชัดเจน และควรจะใช้เวทีรัฐสภาเร่งรัดให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยควรเร่งดำเนินการเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการทันที ที่สามารถทำได้ และ ไม่ควรมีเงื่อนไขใดๆที่จะนำไปสู่การทำให้สังคมเกิดความเข้าใจว่า มีการยื้อเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจะทำประชามติ ก่อนรับหลักการ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการได้ และจะต้องทำประชามติก็ต่อเมื่อได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระที่ 3 ไปแล้ว ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องจัดทำประชามติก่อนรับหลักการ
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า พรรคเห็นว่า ควรจะได้มีการใช้ มาตรา165 ของรัฐธรรมนูญเพื่อแสวงหาทางออกให้กับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน โดยมาตราดังกล่าวได้ระบุว่าให้คณะรัฐมนตรี สามารถเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อรับฟังความเห็นจากสมาชิกรัฐสภาโดยไม่ลงมติเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ และพรรคเห็นว่า เมื่อได้รับฟังความเห็นแล้วควรจะมีการตั้งคณะทำงาน หรือคณะกรรมาธิการขึ้นมารับฟังความเห็นและแสวงหาทางออกร่วมกันกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ว่า จะเป็นส.ส. ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ส.ว. รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ดังนั้นเพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ พรรคจะนำเรื่องนี้ไปหารือในครม. ส่วนสภาได้มอบหมายให้วิปของพรรคไปหารือกับวิปพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้มีความเห็นร่วมกันในการที่จะดำเนินการตามแนวความคิดนี้ต่อไป
เมื่อถามว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญผิดไปจากที่พรรคประชาธิปัตย์แถลงไว้ จะมีการตัดสินใจอย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีท่าทีเป็นอย่างอื่น เพราะยังเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อไป ถึงขนาดเห็นด้วยกับการแก้ไข ม.256 ตามจุดยืนที่พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศไว้ และให้มีการจัดตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมา เมื่อ ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพียงแต่หัวใจสำคัญกับสถานการณ์ขณะนี้ คือ ต้องเร่งรัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม เพราะการแก้รัฐธรรมนูญถือเป็นช่องทางหนึ่งในการหาทางออกให้กับประเทศ ซึ่งคิดว่า สัญญาณจากสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้แถลงไป รวมทั้งสัญญาณจากสังคมที่เกิดขึ้น รัฐบาลน่าจะได้รับทราบชัดเจนอยู่แล้ว ขณะนี้ยังไม่มีท่าทีจากรัฐบาลว่า จะไม่มีการสนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญ
ต่อข้อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะส่งสัญญาณอะไรไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ นายจุรินทร์ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญนำไปสู่การตั้งส.ส.ร.ที่ระบุไว้ชัดว่า ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้น นายกฯคนเดียวไม่อยู่ในฐานะที่จะสั่งการให้ ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง เขียนรัฐธรรมนูญว่าอย่างไรได้
“ในเรื่องของการถอนตัวพรรคก็ต้องไตร่ตรองด้วยควมรอบคอบ รวมทั้งการวิเคราะห์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปด้วยว่า ถ้ามีการถอนตัวอาจจะนำไปสู่การยุบสภาได้ ซึ่งไม่ได้แปลว่า พรรคจะกลัวการยุบสภา เพียงแต่ถ้ามีการยุบสภาขึ้นมาในเวลานี้ ก็จะต้องมีการเลือกตั้ง ซึ่งยังอยู่ภายใต้กติกาเดิม ถ้าเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็จะเวียนกลับมาอีกครั้ง หลังเลือกตั้ง ตรงนี้จึงเป็นที่มาที่พรรคประชาธิปัตย์เร่งรัดให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกติกาต่างๆให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว”นายจุรินทร์ กล่าว