“ครอบครัวตัญกาญจน์” ปฏิเสธข่าวรับเงิน 10 ล้านบาท ยุติการทวงถามความยุติธรรมให้ “น้องเมย” เผยใกล้ 150 วัน แต่คดีไม่คืบหน้า แถมแพทยสภายังนิ่ง ทั้งที่ตำรวจนครนายกทำหนังสือเชิญถึง 2 รอบให้เป็นหน่วยงานกลางวิเคราะห์ผลการตรวจนิติวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างกันของ 2 สถาบัน ล่าสุดเตรียมหารือทนายเดินหน้าเอาผิดคดีแพ่ง ผบ.โรงเรียนเตรียมทหารและพวก ฐานปล่อยปละละเลย ส่วนคดีอาญาแจ้งความเพิ่มอีก 1 รุ่นพี่ธำรงวินัย
แม้กระแสความเงียบงันเกี่ยวกับการเสียชีวิตปริศนาของ นตท.ภัคพงค์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560 จะถูกกลบด้วยกระแสข่าวดัง ทั้งนักธุรกิจใหญ่ฆ่าเสือดำ, คุณป้าทุบรถ, ลอตเตอรี่ 30 ล้านบาท และนาฬิกาหรู 25 เรือนของบิ๊กป้อม จนทำให้เกิดกระแสข่าวลือว่าในวันนี้ “ครอบครัวตัญกาญจน์” ที่ประกอบด้วย นายพิเชษฐ-นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ได้ยอมรับเงินจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อยุติความเคลื่อนไหวในการทวงถามความจริงเรื่องการเสียชีวิตของคนในครอบครัวแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงการตรวจ DNA ครั้งล่าสุดของคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ว่าเนื้อเยื่อจากอวัยวะต่างๆ มีสารพันธุกรรมในปริมาณและคุณภาพที่ไม่เหมาะสมในการตรวจวิเคราะห์ ทำให้ไม่สามารถระบุรูปแบบสารพันธุกรรมเพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าเป็นของบุคคลใดได้นั้น
ล่าสุดวันนี้ (7 มี.ค.) ครอบครัวตัญกาญจน์ได้ออกมาเปิดใจอีกครั้งว่า แม้จะผ่านช่วงเวลาเกือบ 150 วันของการสูญเสีย แต่ทางครอบครัวก็ไม่เคยที่จะหยุดความเคลื่อนไหวตามที่เป็นข่าว และไม่เคยได้รับเงิน 10 ล้านบาทจากใคร
น.ส.สุพิชาบอกว่า นอกจากครอบครัวจะไม่หยุดที่จะเคลื่อนไหวในการหาความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของน้องชายแล้ว ในวันนี้ยังทำงานคู่ขนานกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครนายก ในการหาเอกสารเกี่ยวกับผลการชันสูตรต่างๆ เพิ่มเติม เช่นเดียวกับการหาความจริงเรื่องผลการตรวจ DNA ที่ทางครอบครัวมีความพยายามที่จะขอความเมตตาจากแพทยสภา เพื่อให้เป็นหน่วยงานกลางในการอธิบายถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพชิ้นเนื้อซึ่งทางการแพทย์แล้ว การเก็บชิ้นเนื้อนาน 10-20 ปีก็ยังสามารถนำมาพิสูจน์ได้ แต่ในส่วนของน้องชายของตนเอง ที่ถูกเก็บชิ้นเนื้อเพียงเดือนกว่าๆ เหตุใดจึงไม่สามารถตรวจสอบได้
“เท่าที่ได้รับแจ้งจากทางตำรวจก็ทราบว่าพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครนายก ได้ทำหนังสือถึงแพทยสภา ถึง 2 ครั้งเพื่อเชิญให้มาเป็นหน่วยงานกลางในการตรวจผลการชันสูตรศพที่แตกต่างกันของ รพ.พระมงกุฎเกล้า และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เพื่อหาคำตอบที่แท้จริง แต่ทางแพทยสภาก็ยังนิ่งอยู่ วันนี้หนูเองก็อยากขอวิงวอนให้ทางแพทยสภา เมตตากับทางครอบครัวในการหาความกระจ่างให้น้องชายที่เสียชีวิต เพื่อที่เราจะได้เดินหน้าในเรื่องต่อๆ ไปได้”
หารือเอาผิดทางแพ่ง ผบ.โรงเรียนเตรียมทหารและพวก
ขณะที่ในวันพรุ่งนี้ (8 มี.ค.) ครอบครัวตัญกาญจน์จะประชุมร่วมกับทีมทนายความจากบริษัท บาร์ริสเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์เฟิร์ม จำกัด เพื่อดำเนินคดีทางแพ่งต่อผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องในฐานความผิดปล่อยปละละเลย เพื่อเรียกร้องให้ชดใช้ในเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นกับครอบครัว
ส่วนด้านการดำเนินคดีอาญานั้น ทางครอบครัวได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในช่วงแรก คือ วันที่ 23 ส.ค. 2560 ซึ่งมีการธำรงวินัยจนน้องเมยหมดสติ และอัยการศาลทหาร มทบ.12 ได้สั่งฟ้องจำเลยซึ่งก็คือรุ่นพี่บังคับบัญชาไปแล้ว 1 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการประกันตัว
เหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2560 ซึ่ง “น้องเมย” อยู่ในช่วงทุเลาการฝึกตามคำสั่งแพทย์ แต่ก็พบว่าถูกรุ่นพี่บังคับบัญชาอีกรายสั่งธำรงวินัย ทั่งที่เพิ่งลงจากกองพยาบาล โดยได้แจ้งความดำเนินคดีต่อรุ่นพี่คนนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ระหว่างรอการเรียกสอบปากคำของพนักงานสอบสวน สภ.บ้านนา จ.นครนายก
และเหตุการณ์ที่ 3 ระหว่างวันที่ 15-17 ต.ค. 2560 ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมดำเนินคดีต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ “น้องเมย” ทั้งหมด ภายใต้การใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
พ่อยันไม่เคยรับเงิน 10 ล้านบาท
ขณะที่ นายพิเชษฐ ได้เปิดเผยถึงกระแสข่าวลือเกี่ยวการรับเงิน 10 ล้านบาท เพื่อให้ยุติความเคลื่อนไหวว่า ทางครอบครังไม่เคยได้รับเงินเยียวยาใดๆ โดยที่ผ่านมาได้รับเงินจำนวน 1 แสนบาทจากทางโรงเรียนเตรียมทหารเท่านั้น ที่สำคัญยังไม่มีการดำเนินคดีแพ่งต่อผู้ใด จึงไม่มีทางที่จะได้เงินจำนวนดังกล่าวอย่างแน่นอน และตนเองยังมีจุดยืนที่จะหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ จึงไม่มีทางที่จะยุติความเคลื่อนไหว
ส่วนนางสุกัลยา บอกว่าในฐานะของแม่ เมื่อรู้ว่าคดีการเสียชีวิตของลูกชายไม่คืบหน้าก็ยิ่งเศร้าใจ และไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดคนที่กระทำผิดจึงได้รับการปกป้อง ซึ่งหากสถาบันหลักของชาติปล่อยให้เด็กที่ไม่รู้สึกว่าเมื่อทำผิดแล้วจะต้องได้รับโทษ ออกไปเติบใหญ่ในเส้นทางการทำงานรับใช้ชาติ จะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศมากเพียงใด