พรรคประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืนชัด
พร้อมเป็นฝ่ายค้าน หากไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ย้ำชัดๆอีกครั้งไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมแกนนำพรรค แถลงจุดยืนหลังการเลือกตั้ง ว่า ตั้งแต่ที่ตนแถลงไม่สนับสนุน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ ทำให้เกิดคำถามมากมายในโลกโซเชียล ซึ่งตนรวบรวมเป็น 5 ประเด็นหลักได้แก่
1.จุดยืนนี้ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว แต่เป็นการพูดในฐานะหัวหน้าพรรคและเป็นอุดมการณ์พรรคที่ยึดมั่นมา 70 ปีแล้ว เพราะเรื่องนี้ในที่สุดต้องมีมติพรรค แต่ตามข้อบังคับของพรรค มตินี้จะเกิดไม่ได้ถ้ายังไม่มีการเลือกตั้ง
2. เป็นการย้ำอุดมการณ์ของพรรค เพราะพรรคต้องการทำงานการเมืองแบบตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้เลือกตั้งมีสิทธิ์ได้รับทราบจุดยืนของแต่ละพรรคอย่างชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง ไม่ใช่เข้าใจไปแบบหนึ่ง แต่พอได้รับเลือกตั้งแล้วกลับไม่ทำตามที่ประชาชนเข้าใจ และถ้าการประกาศครั้งนี้จะทำให้เสียคะแนนตนก็ยินดี เพราะมันคือความเป็นธรรมกับการเลือกตั้ง
3.ยืนยันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนมี 3 ทางเลือกซึ่งมีจุดยืนและแนวคิดที่ต่างกันอย่างชัดเจน ที่ผ่านมาตนไม่อยากพูดเพราะคิดว่าตนมีจุดยืนชัดเจน และตนก็ได้รับฉันทานุมัติจากสมาชิกพรรคให้เป็นหัวหน้าพรรคอีก ตนมองว่าในการหาเสียงเลือกตั้งต้องสู้กันที่นโยบาย แต่จากเวทีดีเบตต่างๆ ก็มีความพยายามให้โต้เถียงกันเรื่องจุดยืน ซึ่งประชาชนก็จะเสียโอกาสฟังนโยบายแก้ปัญหาประเทศ ดังนั้นตนจึง
ต้องการแถลงให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอีก และยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งอะไรเพิ่มเติม และไม่มีการบังคับให้ใครเลือกข้างหรือตัวบุคคล เช่น พล.อ.ประยุทธ์ หรือ นายทักษิณ ชินวัตร อีกต่อไป เพราะอนาคตของประเทศมันเกินเลยไปกว่าเรื่องตัวบุคคล
4.พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาล และต้องอยู่ภายใต้พื้นฐานอุดมการณ์ของพรรค คือ ไม่เอาการทุจริตและการสืบทอดอำนาจ แต่การจัดตั้งรัฐบาลก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดูผลการเลือกตั้งก่อน โดยมีเงื่อนไขคือตราบใดที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถออกมาจากการครอบงำของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีผลประโยชน์ขัดกับผลประโยชน์ของคนในประเทศ พรรคจะไม่ยอมให้เข้าร่วมรัฐบาลด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณเหล่านี้ ขณะเดียวกันตนก็ไม่ตกหลุมพรางของพรรคเพื่อไทยที่จะสร้างกระแสให้พรรคร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะถ้าพรรคพลังประชารัฐคิดสืบทอดอำนาจก็ไม่ร่วมด้วย
“ผมแปลกใจว่าพอตอบแบบนี้ ก็มีกองเชียร์บอกว่าตอบไม่ชัด ตอบไม่ได้ ก็ขอเปรียบเทียบกับคำตอบของพรรคอนาคตใหม่ในเวทีดีเบตที่ว่า ถ้าพลังประชารัฐจะบอกว่าเราไม่เอาสืบทอดอำนาจ ไม่เอา คสช. แล้ว ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เรายังร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐได้ ทำไมเวลาผมพูดก็บอกว่าไม่ยอมตอบ หาว่ากั๊ก ถ้าอย่างนั้นผมก็มีอนาคตใหม่เป็นเพื่อน เพราะเป็นคำตอบเดียวกันบนเวทีดีเบต ดังนั้นผมขอยืนยันว่าวันนี้เราพร้อมจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และทุกคนมั่นใจได้ว่าคลิปที่เราประกาศไปมีเป้าหมายคือการนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่ทุจริตและสืบทอดอำนาจ”
5.สำหรับคำถามว่า หลังการเลือกตั้ง ถ้าไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ กลัวว่าบ้านเมืองจะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกหรือไม่? นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกฝ่ายได้เรียนรู้ และยืนยันว่าไม่ต้องการให้เกิดสถานการณ์ความวุ่นวาย รวมถึงตนด้วย ตนก็เรียนรู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางในการที่จะจัดการกับปัญหาอย่างไร และตนก็ประกาศชัดว่าจะไม่เกรงใจใคร พร้อมทั้งเชื่อว่าผู้ที่มีความรับผิดชอบด้านความมั่นคง พร้อมทำงานให้ไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก หลังการเลือกตั้งจะไม่มี ม. 44 อีกแล้วและจะไม่มีเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจากนี้ไปใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม
ส่วนตัวตนไม่มีปัญหากับ
พล.อ.ประยุทธ์ และผูกพันกันเพราะทำงานด้วยกันมาในช่วงที่ยากลำบาก
อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เองก็เคยให้ความช่วยเหลือแก้ปัญหาตอนที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี และตนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนขอบคุณที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามทำให้ประเทศชาติสงบ แต่การตัดสินใจของตนจะเอาเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวมารวมไม่ได้ ต้องคิดถึงประเทศในระยะยาว ตนขอยืนยันนว่าความขัดแย้งในอนาคตจะเกิดขึ้นได้ คือถ้ามีการสืบทอดอำนาจ และ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นศูนย์กลางของเงื่อนไขความขัดแย้งที่ง่ายที่สุดหลังการเลือกตั้ง
ดังนั้นการบริหารประเทศสิ่งที่ต้องเอาอยู่ให้ได้ เรื่องแรกคือฝ่ายการเมือง เพราะน่าเป็นห่วงว่าเส้นทางของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องการเป็นนายกฯ ด้วยการพึ่งพาพรรคการเมือง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในแนวทางของตัวเองได้ ทั้งนโยบายข้าว, สปก. ทองคำ และหลายสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยบอกว่าเขาไม่ควรทำ ทำไม่ได้
แต่วันนี้กลับต้องพึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ที่ยังยืนยันในการนำเสนอหลายอย่าง ซึ่งขัดกับความเชื่อหรือจุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นการที่ตนออกมาประกาศเมื่อวานนี้ต้องการทำให้ประชาชนเห็นว่าสุดท้ายในการเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องกลับมาสู่การเลือกอนาคตของประเทศ แข่งขันกันด้วยวิสัยทัศน์และนโยบายกันต่อไป ไม่ใช่เอาเงื่อนไขของตัวบุคคลใดมาเป็นตัวครอบงำหรือบีบบังคับให้เลือกข้าง โดยไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศในวันข้างหน้า
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่กลับเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคเพื่อไทย ที่ได้เสียงข้างมากและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และประกาศตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่ประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน พรรคก็ไม่ร่วมรัฐบาลและพร้อมเป็นฝ่ายค้าน ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นภาคประชาธิปไตยสุจริต และตนขอเตือนว่าถ้าใครยังเชื่อว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเพียงวาทกรรม ประเทศจะกลับมาเกิดวิกฤติอย่างแน่นอน
หากพรรคพลังประชารัฐจะเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล ต้องไม่มีการสืบทอดอำนาจทั้ง ตัวบุคคล คือ พล.อ.ประยุทธ์ และมรดกที่ขัดกับหลักประชาธิปไตย คือ คำสั่งและประกาศ ของ คสช. ที่ขัดกับหลักประชาธิปไตยและนโยบายของพรรค พรรคจะเข้าไปสะสางอยู่แล้ว แนวทางการบริหารประเทศนั้นถ้ามีการรวมศูนย์อำนาจ หรือไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามหลักประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องเข้าไปแก้ไขสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ซึ่งได้ประกาศเป็นนโยบายไปแล้ว ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ตนยังต้องใช้เวลานึกให้ออกว่าถ้า ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ แล้วเป็นอย่างไร เพราะผู้บริหารของพรรคหลายคนก็ไม่ได้ลงสมัครเป็น ส.ส. ซึ่งหากคนของเขาเข้าสภาจะมีตัวหลักอยู่ที่ ส.ส. ที่ได้รับเลือกเข้ามา แต่สิ่งที่ตนขอย้ำว่าหากพรรคพลังประชารัฐยังพยายามทำให้เกิดการสืบทอดอำนาจ ประชาธิปัตย์ก็จะไม่ให้เขามาร่วมรัฐบาลด้วย
ส่วนพรรคเพื่อไทย ตนยังมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเพราะจากปรากฏการณ์หลายอย่างในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดแล้วว่ามีคนที่สามารถจะมาครอบงำพรรคได้อยู่ หากในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์บางคนไปยกมือเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคอื่น พรรคจะต้องดำเนินการกับคนที่ไม่รักษาอุดมการณ์ของพรรคอยู่แล้ว เพราะถือว่าขัดกับข้อบังคับพรรคอยู่แล้ว ตนมั่นใจว่าสามารถจัดการได้ไม่มีงูเห่า
Cr.สำนักข่าวตรงประเด็น
สำนักข่าววิหคนิวส์