เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ม.ค. 64 ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภ.คลองหลวง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.อ.ดำรงศักด์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สุรพงษ์ ถนอมจิตร รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชยุต มายาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี เดินทางมาประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง โดยมี พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่านสืบสวน และตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดปทุมธานี และที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมห้องประชุมเกี่ยวกับเรื่องที่มีการ์ดของผู้ชุมนุมนำธงชาติลง แล้วเปลี่ยนผ้าแดงเขียนเลข 112 ขึ้นสู่ยอดเสาแทน โดยการประชุมใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่งจึงแล้วเสร็จ
ทางด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เปิดเผยว่า วันนี้ตนมาด้วยวัตถุประสงค์ 3 เรื่อง โดยเรื่องแรกที่ชาวบ้านตั้งคำถามว่าปล่อยให้เกิดเหตุแบบนี้ได้อย่างไร ต่อหน้าต่อตา เรื่องที่สองจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการแบบนี้ และเรื่องที่สาม คนที่ทำผิดจะต้องโดนอะไรบ้าง
โดยเรื่องแรกจะต้องยอมรับว่า ยุทธวิธีของผู้ที่กระทำผิด ต้องการสร้างพื้นที่ข่าวซึ่งก็ต้องยอมรับเขาทำได้ดี ภาพที่ตำรวจจะชักธงลงก็กลายเป็นภาพตำรวจยืนดู ซึ่งจริงๆก็ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่มีกำลังพร้อมอยู่ เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเราอยู่บนพื้นฐาน ในหลักคิดที่จะไม่ใช้กำลังโดยไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ว่าผู้บังคับบัญชาทุกระดับตั้งแต่ผมลงมา ก็จะต้องมาพบปะทำความเข้าใจกับลูกน้องว่าเรื่องแบบนี้ จะให้เกิดอีกไม่ได้ ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังก็ต้องใช้ อะไรจะเกิดต้องเกิด และพวกเราก็ยอมรับผิดและรับผิดชอบ เราไม่ทอดทิ้งกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะมันกระทบกระเทือนของความรู้สึกคนทั้งประเทศ ซึ่งอาจจะเพลี่ยงพล้ําในพื้นที่การข่าวก็ว่าไป แต่อย่างที่บอกว่าสงครามมันยังไม่จบอย่าพึ่งนับศพทหาร
เรื่องที่สองจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ต้องมาปรับการทำงานโดยเฉพาะตำรวจระดับเล็กจะไม่มั่นใจในอำนาจหน้าที่ในบทบาทในเรื่องของกฎหมาย ยังไม่แตกฉานเพียงพอ อาจจะไม่แน่ใจตรงนี้ และผู้บังคับบัญชาที่อยู่ก็อาจจะอยู่บนพื้นฐานที่ไม่อยากจะใช้กำลังโดยไม่จำเป็น ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องปรับความคิดกันใหม่ ให้ความรู้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งตรงนี้จริงๆก็ทำกันมาตลอด ร่วมถึงเรื่องยุทธวิธีด้วย แต่ว่าก็จะต้องทำให้เข้มข้นขึ้น ว่าเขาจะทำอะไรได้ทำอะไรไม่ได้ ยุทธวิธีควรจะเป็นอย่างไร แล้วเราก็จะต้องเอาบทเรียนมาถอด
ส่วนเรื่องที่ 3 ใครจะต้องโดยอะไรบ้าง เราก็จะอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เราก็จะต้องเร่งรัด และทำให้กระจ่างให้สังคัมเห็นว่า ต้องรวดเร็วโดยยึดหลักความเป็นนี่แหละต้องรวดเร็ว และก็ต้องให้ครบถ้วนทุกข้อหาและทุกคนด้วย ผมก็ต้องไปเดินสายทำความเข้าใจกับตำรวจทั่วประเทศด้วยเหมือนกัน โดยเอาบทเรียนตรงนี้ไปให้ความคิดให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ และผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น และทำให้ลูกน้องมั่นใจว่าเรารับผิดชอบในสิ่งที่เราสั่ง และขอให้เขามั่นใจในสิ่งที่เขาทำ เพราะเราไม่ได้สั่งให้เขาทำอะไรนอกอำนาจหน้าที่ แค่ให้รู้ว่าอะไรทำได้ และเมื่อจำเป็นต้องใช้กำลังก็อย่าลังเลต้องทำ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
โดยในเบื้องต้นเรื่องผู้กระทำผิดเราต้องออกหมายเรียกทุกคน ซึ่งจากที่ฟังพนักงานสอบสวนก็จะมีกฎหมายอยู่หลายฉบับมีเรื่องเกี่ยว พรบ.ฉุกเฉิน พรบ.ควบคุมโรคติดต่อ และ พรบ.ธงชาติ มีเรื่องการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เรื่องของการทำให้เสียทรัพย์ และก็เรื่องของการดูหมิ่น ในส่วนของเยาวชนทางตำรวจมีกฎหมายเยาวชนชัดเจนอยู่แล้ว วิธีการปฎิบัติต่อเยาวชน ซึ่งแตกต่างจากผู้ใหญ่ ก็ขอให้มั่นใจเราไม่ทำอะไรนอกอำนาจ ส่วนหลังจากออกหมายเรียกแล้ว ก็จะมีขั้นตอนเกี่ยวกับเรื่องของการสอบสวน ดำเนิคดีต่อไป ซึ่งในส่วนของความบกพร่องนั้น ผมเชื่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งใจทำงาน แต่ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นบทเรียน และเราต้องดูคนของเราให้พร้อมรับมือทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ในส่วนของมวลชนที่จะมาปักหลักติดตามให้กำลังใจผู้ที่ถูกออกหมายเรียกและเข้ามารายงานตัวนั้น ทางตำรวจก็จะมีมาตราการที่ดีกว่านี้