นายธนาพิพัฒน์ ชัยธนาธนธัต ประธานต่อต้านทุจริต ได้เข้าร้อง พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายกสภาพิเศษสภาทนายความฯ
ว่าที่ร้อยตรี ดร.ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร้องขอความเป็นธรรมต่อสภาทนายความฯ
โดยได้รับผลกระทบ ผู้แทนฯ และได้รับความเสียหายจากการกระทำของทนายความ และ ขอให้มีมาตรการควบคุมทนายความที่ใช้สื่อฯไปในทางที่ขัดต่อจริยธรรมอันดีในสังคมและขัดต่อมรรยาท
เมื่อ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
ข้อความระบุว่า สืบเนื่องจากปัจจุบัน สถานการณ์บ้านเมืองเป็นที่น่าเป็นห่วงในเรื่องของเด็กและเยาวชน รวมไปถึงประชาชนทั่วไปและ ข้าราชการทุกระดับ มีการเข้าถึงระบบเทคโนโลยีและสาระสนเทศ พร้อมการสื่อสารแบบรวดเร็วไร้การกรั่นกรองด้านข้อมูลข่าวสารที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งระบบควบคุมผู้ใช้หมายเลขลงทะเบียนใช้งานในสื่อโซเชี่ยลออนไลน์สาธารณะต่างๆ ก็ไม่มีมาตรการควบคุมดูแลหรือเอาผิดผู้ที่กระทำการแสดงความคิดเห็นด้วยข้อความที่สุจริต และ เปิดเผยตัวตนผู้กระทำผิดได้ดีเท่าที่ควร จึงก่อเกิดเป็นข้อพิพาท และคดีความมากมายในชั้นพนักงานสอบสวน และระบบยุติธรรมในชั้นศาลอยู่ในขณะนี้
ประการดังที่ข้าฯได้กล่าวมา ข้าฯและเครือข่ายฯ รวมถึงผู้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคมมาตลอด ซึ่งบางท่านเป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักการเมือง นายทหาร ตำรวจ นักปกครอง รวมไปถึงผู้ใหญ่บ้านเมืองที่เป็นที่น่าเคารพศรัทธา ในทุกตำแหน่งทุกระดับชั้น หรือกล่าวไปได้ถึงระดับผู้นำและคณะผู้บริหารประเทศในรัฐบาลฯ ที่ยังไม่สามารถควบคุมดูแลสิ่งเหล่านี้ได้เลย อันเนื่องจากภารกิจที่สำคัญกว่ายังคงมีในอีกหลากหลายด้านตามนโยบายบริหารประเทศ และบุคลากรที่ควรมีได้ดำเนินการให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็วนี้ขาดการกำกับดูแลได้ดีเท่าที่ควร
ปัจจุบันจึงเกิดกลุ่มบุคคลที่เรียกกันอย่างแพร่หลายในโลกเชี่ยลว่า “เน็ต ไอดอล” เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในการนำเสนอข่าว นำเสนอวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆในมุมมองของตนให้เป็นกระแสที่น่าติดตาม นำเสนอผ่านพฤติกรรมเพื่อประโยชน์ในส่วนของตน โดยปราศจากข้อเท็จจริงที่ดี บ้างใช้วาจาไม่สุภาพ บ้างใช้กริยาไม่เหมาะสม บ้างก็ใช้รูปร่างหน้าตามาเป็นบทพิสูจน์ความน่าเชื่อถือ เพื่อให้มีผู้คนมาติดตามและเชื่อในสิ่งที่ตนได้นำเสนอ ซึ่งหากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายเป็นอย่างมากในสถานการณ์ประเทศขณะนี้ ที่ทางรัฐบาลยังคงป้องกันภัยร้ายต่างๆเพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงฯและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ยังคงต้องเร่งบูรนาการควบคู่กันไปอยู่ในขณะนี้
ต่อมา ที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ปัจจุบันโลกโซเชี่ยลมีเดียฯ และสื่อสถานีโทรทัศน์ฯ จะปรากฏบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่เริ่มเข้ามาในฐานะ “ทนายความ” อันคำนิยามของวิชาชีพนี้ ควรที่จะกระทำตนให้เป็นกลางที่สุด และเหมาะสมกับหลักการและเหตุผลของหน้าที่จริยธรรมอันดี รวมถึงระบบมรรยาทฯของวิชาชีพทนายความ ที่ควรจะนำมาใช้ร่วมกันกับสถานการณ์บนโลกโซเชี่ยลมีเดียฯหรือสื่อสถานีโทรทัศน์อย่างเหมาะสมเป็นธรรม และสมควรที่จะนำวิชาชีพทนายความมาแนะนำตีตัวบทกฎหมายบนแนวทางข้อเท็จจริงที่ตนเรียนรู้มาให้เข้าข่ายสนับสนุนกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง หากแต่ขณะนี้มีทนายความบางท่านยึดติดต่อชื่อเสียงเน้นกระแสสังคม ใช้สื่อสังคมโซเชี่ยลมีเดียฯ ตั้งกลุ่มรวมตัวทนายความที่จบใหม่ รวมตัวทนายความอาวุโสที่เริ่มจะหาช่องทางในการร่วมยึดกระแสมาร่วมเข้ากลุ่มเป็นสมาชิก ร่วมให้ความรู้เยาวชนและสังคม ในทางที่ขัดต่อหลักการและข้อเท็จจริง บ้างก็กล่าวอ้างเปิดมูลนิธิฯแบบถูกกฎหมาย แต่การกระทำในปัจจุบันนั้นกลับส่งเสริมยั่วยุให้เยาวชน และสังคม ขาดการวิเคราะห์แยกแยะ และควรให้ความสำคัญในระบบกระบวนการยุติธรรมก่อนการพิจารณาคดีในระบบศาลยุติธรรม มิใช่เป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกกระแสมวลชนในสังคม
ให้เกิดการแตกแยกทางความคิด ใช้กระแสสังคมร่วมตัดสินพฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งบ่อยครั้งที่ผู้มีชื่อเสียงอันเป็นที่น่าเชื่อถือในสังคม รวมถึงข้าราชการในหน่วยงานที่มีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติตามหน้าที่บนบรรทัดฐานที่ต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทำหน้าที่ไปได้ตามระบบปฏิบัติเพื่อสนับสนุน เข้าไปสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งทนายความเองควรที่จะต้องสร้างบรรทัดฐานให้เยาวชนและสังคม ควรเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม ควรเข้าใจในระบบเจ้าพนักงานที่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ ก่อนที่จะนำกระแสสังคมที่ได้รับการยั่วยุมาใช้ตัดสินผู้ถูกกล่าวหา ร่วมวิภาควิจารย์ผู้อื่นให้เสียหายไร้ซึ่งข้อเท็จจริง บ่อยครั้งเลยเถิดไปถึงขั้นก้าวล่วงวิภาควิจารย์ หรือขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และ ถึงขั้นเข้าแทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดี หรือ เลยเถิดไปถึงขั้นวิภาควิจารย์ระบบพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม อันเป็นสิ่งที่ไม่บังควรอย่างยิ่งจากการกระทำที่ส่งผลเสียต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน จากการชี้นำโดยนักกฎหมายที่ใช้ชื่อวิชาชีพว่าทนายความ
ซึ่งการชี้นำจากทนายความ ที่เข้าไปสู่การเป็นผู้นำกระแสในโลกโซเชี่ยลมีเดียหรือสื่อสถานีโทรทัศน์ ที่ไม่ควรชี้นำให้เยาวชนและสังคม ไปยึดถือศรัทธาและเสพย์ติดเนื้อหาข่าวไปในแนวทางที่บิดเบือน ไม่กรั่นกรอง ขาดการคิดวิเคราะห์ ไม่แยกแยะ กลับเลือกที่จะยึดติดและหลงเชื่อเฉพาะบุคคลที่ตนเป็นแฟนเพจหรือสมาชิกของเน็ตไอดอลท่านนั้นๆ เพียงเพื่อจะเอาเป็นความสนุก สะใจ หรือรุนแรงถึงขนาดใช้เป็นเวทีในการสาดโคลน ดิสเครดิต ตีแผ่หลักฐานเท็จ บิดเบือนความเป็นจริง และไม่นำเสนอข้อแก้ต่างอย่างเป็นธรรมให้ครบทุกองค์ประกอบของเนื้อหาข่าวที่นำเสนอออกไป ทนายความบางท่านเริ่มกระทำตนเป็นคู่ความเสียเอง หรือ เข้ายุยงส่งเสริมให้คนเป็นคดีความกัน ร่วมนำสื่อมวลชนลงพื้นที่ อ้างทำหน้าที่แทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ และกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินอยู่ตามมาตรฐาน ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของทนายความพึงกระทำตามสมควร อันไม่ควรเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องเป็นธรรมในสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศขณะนี้ ซึ่งทนายความบางท่านเป็นถึงระดับอาจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิมากมายเป็นที่น่านับถือยอมรับศรัทธา กลับถูกล่วงละเมิดให้เสียหายต่อชื่อเสียงและเกียรติยศไปด้วย อีกทั้งโดนรุมวิภาควิจารณ์ให้เป็นที่น่ารังเกียจเสียหาย และ หมดความน่าเชื่อถือไปโดยการชี้นำที่ผิด เกิดเป็นการชี้นำให้เยาวชนและสังคม รับพฤติกรรมที่ผิดๆเช่นนี้เข้าไป ซึ่งอนาคตจะเป็นอันตรายเป็นอย่างมากกับเยาวชนและสังคมประเทศ
ทั้งนี้ ข้าฯเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับผลกระทบนี้ และเห็นว่าปัจจุบันควรที่จะมีมาตรการที่เด็ดขาดมาบังคับใช้กำกับดูแลทนายความในสังกัดสภาทนายความฯ อีกทั้งควรบังคับใช้บทลงโทษที่ชัดเจนเป็นธรรมและเด็ดขาด มาตัดสินลงโทษทนายความผู้กระทำผิดจริยธรรม และมรรยาทในวิชาชีพทนายความไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับทนายความรุ่นหลัง และควรสร้างความน่าเชื่อถือศรัทธาบนแนวทางวิชาชีพได้ตามตัวบทกฏหมาย มิใช่ก้าวล่วงถลำลึกไปเป็นเครื่องมือทำกำไรให้กับสถานีข่าวหรือสื่อสถานีโทรทัศน์ เพื่อร่วมสร้างกระแสสังคมที่ผิด อันส่งผลกระทบมากมายกับเยาวชนและสังคม รวมไปถึงศักดิ์ศรีของสภาทนายความฯ ที่ควรเป็นแบบอย่างพึงเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมที่ทนายความควรรับทราบใส่ใจเป็นอันดับแรก พึงคำนึงถึงหน้าที่ของตน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในทุกกระบวนการได้เป็นหลัก
ในการนี้ ข้าฯขอส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรมฉบับนี้ ส่งต่อให้กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ร่วมรับทราบ และนำไปร่วมพิจารณาดำเนินการกับสื่อสถานี สื่อวิทยุและโทรทัศน์ ตามเอกสารร้องเรียนให้เอาผิดกับสถานีโทรทัศน์ ผู้ดำเนินรายการกับพวก
สำนักข่าววิหคนิวส์