บ้านเมืองของเราขณะนี้ ได้มี สส.ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน และมี สว.ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพวกได้อำนาจมาจากการทำรัฐประหารครั้งนี้ และกำลังมีการเปิดรัฐสภาเพื่อตั้งรัฐบาลที่จะทำหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองต่อไป สภาวการณ์ต่างๆของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรหลังจากนี้ไปนั้น เป็นเรื่องที่จะขอพูดในวันนี้
“ผลที่เกิดขึ้นย่อมมาจากเหตุ” เป็นหลักธรรมที่สมควรนำมาพิจารณาเป็นเบื้องแรก ว่าเหตุอันทำให้เกิดผลนั้นมาจากอะไร ใครเป็นผู้ทำให้เหตุนั้นเกิดขึ้น
สส.ที่ได้มานั้น เป็น สส.ที่ได้มาตามกฎกติกาของใครที่มีอำนาจในการกำหนดรูปแบบและวิธีการในการเลือกตั้ง และ สว.ที่ได้มานั้นมาจากการแต่งตั้งของใคร ถ้ามองไปที่ต้นเหตุดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมจะรู้ผลที่จะตามมาว่า ทิศทางของ สส. และ สว. นั้นจะเดินไปในทิศทางใด และอย่างไร
ไม่ว่าใครก็รู้ว่ารูปแบบดังกล่าวนี้ใครเป็นคนกำหนด
ผู้กำหนดรูปแบบดังกล่าวกำหนดไว้เพื่อให้ใครได้
โดยเฉพาะการกำหนดให้ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งนั้น เป็นผู้มีอำนาจออกเสียงเลือกตัวนายกรัฐมนตรีได้ด้วยนั้น ก็จะเห็นผลอย่างชัดๆ ว่าจะเลือกใคร
สส.ก็เช่นเดียวกันที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ว่าจะเลือกใคร พรรคใด ก็ไม่วายถูกแทรกแซงจากพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนผู้มีอำนาจ ให้ได้มีอำนาจสืบต่อไปอีก
การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบนี้ จึงเป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไส้ติ่ง และการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพยาธิปากขอ เกาะกินบ้านเมืองต่อไปไม่สิ้นสุด
ประชาธิปไตยในบ้านเราก็ต้องยังเจ็บป่วยต่อไป
ความวุ่นวายทางการเมือง เสถียรภาพของรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมืองต่อไปย่อมต้องวุ่นวายและอ่อนแอตามไปด้วย เพราะความไม่ปกติของสิ่งเหล่านี้
การช่วงชิงคน การช่วงชิงผลประโยชน์ต่างๆ จะเกิดให้เห็นอีกเหมือนที่แล้วๆมา บ้านเมืองก็คงต้องล้มเหลวต่อไป
การต่อสู้ทางการเมืองก็คงจะไม่ได้อยู่ในรัฐสภาเหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตหลายยุคหลายสมัย ที่จะกระจายออกไปทั่วทั้งในชุมชนต่างๆ แม้กระทั่งให้ท้องถนน
ความขัดแย้งที่รุนแรงทางการเมืองที่จะขยายตัวสู่สังคมภายนอก มีความเป็นไปได้สูง และมีโอกาสขยายตัวสู่ความรุนแรงและยึดเยื้อ
การเรียกร้องทางการเมืองเป็นธรรมชาติของสังคมก็จริง แต่ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆต่อไปนี้ก็ต้องพึงระมัดระวังด้วย การใช้ความรุนแรงต่อประชาชนมือเปล่า เป็นการปฏิบัติการที่ไม่ชอบ และสังคมไม่ยอมรับ แม้กระทั่งต่างประเทศที่เห็นว่า ทำไมประเทศที่บอกว่ามีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย จึงมีการใช้อำนาจที่รุนแรงและโหดเหี้ยมต่อประชาชน
ผู้มีอำนาจต้องรับฟังคำแนะนำ หรือคำเตือนจากผู้อื่นให้มากในเรื่องอย่างนี้ เพราะอดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่ดีว่าผลสุดท้ายแล้วผู้มีอำนาจต้องประสบอย่างไร
ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาเป็นเวลายาวนาน ผู้มีอำนาจทั้งหลายจึงน่าพัฒนาตนเองให้รู้จักความยืดหยุ่น ต่อความต้องการของประชาชนในบ้านเมือง จะได้ทำให้เกิดความสันติสุขร่วมกัน อย่าทำให้ประชาธิปไตยต้องกัดกร่อนตัวเอง
การเมืองที่มีลักษณะเผด็จการ เอื้อต่อการผูกขาดอำนาจ สืบทอดอำนาจ ไร้ซึ่งคุณค่าและศักดิ์ศรี ไม่เปิดกว้างต่อการแข่งขันอย่างตรงไปตรงมา ไม่หาวิธีการใดๆในการได้อำนาจอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย คือการแข่งขันที่เป็นธรรม
อย่าคิดว่าต้องเป็นรัฐบาลอย่างเดียวจึงจะทำงานได้ เพราะแม้จะเป็นฝ่ายค้านก็ทำงานได้ด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยการตรวจสอบ ติดตาม หรือการชี้แนะ
ข้อเรียกร้องใดๆ ทางการเมืองของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือความกังวลใจในการดำรงชีวิตประจำวันในเรื่องของความเป็นอยู่ ในการทำมาหากินที่ยากลำบาก อย่างที่กำลังประสบอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจและดำเนินการแก้ไข
ใครก็ตามที่กำลังเข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหยุดวิกฤติต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองให้ได้ อย่ามัวแต่คิดเพียงว่าทำอย่างไรจึงจะมีอำนาจที่ยาวนานต่อไป
ให้คำตอบต่อประชาชนให้ได้ว่าทางออกยังมีอยู่ ด้วยการดำเนินการที่ถูกต้อง
ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ บ้านเมืองก็ล้มเหลวต่อไป
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
Cr.naewna
สำนักข่าววิหคนิวส์