นักโทษประหารด้วยการยิงเป้ารายที่243 ของไทย “ไอ้ม้าซาดิสม์”
รายที่ ๒๔๓ น.ช.ละมัย,บุญชู โพธิ์สุวรรณ (ไอ้ม้าซาดิสม์) อายุ ๒๗ ปี
หมายเลขประจำตัว ๑๒๙๖/๒๕ คดีข่มขืนกระทำเราและความผิดต่อชีวิต
ศาลจังหวัดสมุทรปราการตัดสินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคแรก,๒๗๗ ทวิ(๒),๙๐
วันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๕ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. ขณะที่สัตวแพทย์หญิงวัลยา เมฆสุต
อายุ ๒๖ ปี เดินฝ่าสายฝนที่กำลังตกพรำๆ
เพื่อไปดูเรือนหอที่กำลังทำการก่อสร้างภายในหมู่บ้านทิพวัล๑ ถนนเทพารักษ์
ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
ระหว่างนั้นมีชายฉกรรจ์รูปร่างใหญ่กำยำเดินสะกดรอยตามหลังสัตวแพทย์หญิงวัล
ยาไปห่างๆ เมื่อเห็นว่าปลอดสายตาคนแล้ว
ชายคนดังกล่าวได้เร่งฝีเท้าตรงเข้าล็อคคอด้านหลังแล้วลากตัวสัตวแพทย์หญิง
วัลยาเข้าไปในบ้านที่กำลังก่อสร้างภายในซอย๔๕
แล้วทะลุด้านหลังมาเข้าบ้านที่กำลังก่อสร้างในซอย๔๓
โดยนำตัวเข้าไปทำการข่มขืนที่ใต้บันไดบ้าน
แต่สัตวแพทย์หญิงวัลยาพยายามต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์และร้องให้คนช่วย
ชายโฉดคนนี้จึงใช้มือทุบเข้าที่ใบหน้าและตามลำตัวจนเหยื่ออ่อนปวกเปียกหมด แรงดิ้นรน
แล้วกระชากกระโปรงจนฉีกขาดหลุดออกจากตัว
จากนั้นจึงลงมือทำการข่มขืนเหยื่ออย่างทารุณจนสำเร็จความใคร่ เสร็จแล้วได้หลบหนีไป
หลังจากคนร้ายบ้ากามได้หลบหนีไปแล้ว
สัตวแพทย์หญิงวัลยาได้พยายามกระเสือกกระสนในสภาพร่างกายท่อนล่างเปลือยเปล่า
เสื้อผ้าขาดวิ่น ไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ
พลเมืองดีได้ช่วยกันนำสัตวแพทย์หญิงวัลยาส่งโรงพยาบาล
แต่เหยื่อกามโหดทนความบอบช้ำไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา
โดยพบว่าสัตวแพทย์หญิงวัลยาถูกทำร้ายจนกรามขวาหัก ตับแตก กระดูกก้านคอด้านหน้าแตก
ร่างกายมีรอยเขียวช้ำทั่วตัว
วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๕ ตำรวจได้เข้าตรวจสอบบ้านหลังที่เกิดเหตุ
ซึ่งสัตวแพทย์หญิงวัลยาได้ชี้ให้พลเมืองดีทราบว่าตนเองถูกลากไปข่มขืนและทำ
ร้ายในบ้านหลังนั้น เจ้าหน้าที่ตรวจพบกระโปรงของแพทย์หญิงที่ฉีกขาด
และพบกองเลือดจำนวนมาก มีรอยเท้าคาดว่าเป็นของคนร้ายซึ่งมีขนาดใหญ่
เมื่อเดินตรวจย้อนรอยไปก็พบรองเท้าของเหยื่อสาวตกอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง
ซึ่งทะลุไปอีกซอยได้ คาดว่าคนร้ายจะต้องเป็นคนในพื้นที่จึงรู้เส้นทางต่างๆได้ดี
วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๕
เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักคนงานก่อสร้างซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
จากการตรวจค้นห้องคนงานห้องที่๓
พบเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำตาลลายทางฟ้ามีรอยคราบเลือดหลายจุดหมกอยู่ใต้กองผ้า
เมื่อตรวจสอบชื่อคนงานที่พักห้องนี้ทราบว่าชื่อ “นายบุญชูหรือละมัย โพธิ์สุวรรณ”
ระหว่างนั้นรปภ.ของหมู่บ้านได้มาแจ้งตำรวจว่า
เมื่อสักครู่นายละมัยคนงานก่อสร้างต้องสงสัยกำลังจะเดินกลับเข้าห้องพัก
แต่พอทราบว่าตำรวจกำลังค้นห้องของตน
นายละมัยก็รีบขึ้นรถของหมู่บ้านเพื่อออกไปทางตลาดสำโรงเหนือ
คาดว่านายละมัยคงรู้ตัวและกำลังหลบหนี
เมื่อทราบดังนั้น พ.ต.ท.ธวัชชัย ภัยลี้
รีบนำกำลังตำรวจพร้อมรปภ.คนดังกล่าวขึ้นรถไล่ตามไปที่ตลาดสำโรงเหนือทันที
รถไปทันกันตอนที่คนโดยสารกำลังลงจากรถที่ตลาด
ตำรวจจึงกรูกันเข้าจับกุมตัวนายละมัยไว้ได้ทันท่วงที
ซึ่งนายละมัยมีรูปร่างใหญ่แข็งแรงกำยำมาก
นายละมัยหน้าซีดเผือดแต่ก็ทำใจดีสู้เสือทำเป็นไม่รู้ว่าถูกจับเรื่องอะไร
พอตำรวจแจ้งว่าตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีข่มขืนจนถึงแก่ความตาย
นายละมัยก็อ้างว่าในวันเกิดเหตุกินเหล้ากับเพื่อนคนงานจนดึกและหลับคาวง
เหล้าโดยอ้างเพื่อนคนงานเป็นพยาน
แต่พยานที่ถูกอ้างบอกว่านายละมัยกินเหล้าเพียงแก้วเดียวแล้วก็เดินหายไปตอน
ทุ่มกว่าๆ
ตำรวจตรวจร่างกายพบมีรอยข่วนที่แก้มเป็นทางยาว
ขนาดเท้าก็พอดีกับรอยที่พบในที่เกิดเหตุ เสื้อผ้าเปื้อนเลือดก็เป็นหลักฐานสำคัญ
เมื่อจำนนต่อพยานหลักฐานถึงขนาดนี้ นายละมัยจึงยอมรับสารภาพโดยให้การว่า
ในวันเกิดเหตุได้นัดหมายหมอนวดซึ่งเป็นคู่ขาประจำให้มาหาที่หมู่บ้าน
โดยตนไปรอที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้าน
ระหว่างรอได้แวะดื่มเหล้าที่ร้านแผงลอยใกล้ๆจนหมดไปหนึ่งขวดใหญ่
แต่รอจนสองทุ่มหมอนวดที่นัดไว้ก็ยังไม่มา ขณะนั้นฝนก็ตกพรำๆตลอดเวลา
ระหว่างที่รออยู่นั้น รถบริการของหมู่บ้านได้มาจอดใกล้
โดยมีหญิงสาวลงจากรถเดินเข้าหมู่บ้านไปลำพังคนเดียว ตนจึงเปลี่ยนใจไม่รอหมอนวด
เดินตามหญิงสาวไปห่างๆทันที
เมื่อหญิงสาวเดินมาถึงที่เปลี่ยว ตนจึงเร่งฝีเท้าตามไปจนทัน
แล้วล็อคคอจากด้านหลังด้วยรูปร่างของตนที่ใหญ่โตแข็งแรง
ลากเหยื่อเข้าไปในบ้านที่กำลังก่อสร้างในซอย๔๕ แล้วออกประตูที่ทะลุซอย๔๓
ซึ่งเปลี่ยวกว่า พาเข้าไปในบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งสร้างเกือบเสร็จแล้ว
จากนั้นนำหญิงสาวเข้าไปซอกบันไดแล้วลงมือจะข่มขืน แต่เหยื่อฮึดสู้
จึงกระชากกระโปรงจนขาดติดมือออกมาแล้วปล้ำถอดส่วนที่เหลือจนหมด
หญิงสาวได้ดิ้นรนสุดขีดพี้อมกับร้องให้คนช่วย
จึงใช้มือทุบตามใบหน้าและลำตัวอย่างแรงหลายครั้งติดๆกันจนเหยื่ออ่อนปวก
เปียกหมดแรงต่อสู้ จากนั้นได้พยายามข่มขืนแต่ทำไม่สำเร็จ
จึงนั่งสำเร็จความใคร่อยู่ข้างๆตัวเหยื่อ เสร็จแล้วจึงได้หลบหนีออกมา
โดยคิดว่าหญิงสาวคงบาดเจ็บไม่มากนัก
นายละมัยยังให้การว่า ระหว่างที่หลบหนีเข้าห้องพักคนงานแล้ว
ได้ยินเสียงหมาเห่าจึงลุกขึ้นมาดู
เห็นเหยื่อสาวไปเกาะประตูบ้านของคนระแวกนั้นขอความช่วยเหลือโดยเจ้าของบ้าน
เปิดไฟออกมาช่วยจึงเห็นได้ชัดเจน ตนรีบเข้านอนทำเป็นไม่สนใจอะไร เพื่อไม่ให้มีพิรุธ
รุ่งเช้าจึงนำลูกชายวัย ๕ ขวบ ไปฝากให้แม่เลี้ยงแถวบางกะปิ
จากนั้นก็รอดูเหตุการณ์แล้วย้อนกลับมาเบิกค่าแรง ๑๐๐
บาทก่อนจะเดินกลับเข้าห้องพักเพื่อเก็บเสื้อผ้าเตรียมหนีไปสุพรรณบุรีบ้าน เกิด
แต่ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่ามีตำรวจมาค้นห้องคนงานก่อสร้าง จึงรีบเผ่นหนี
สุดท้ายก็ไปไม่รอด
มารดาและคู่หมั้นของสัตวแพทย์หญิงเข้าดูหน้าฆาตกรที่โรงพัก
เมื่อเห็นหน้าได้ต่อว่านายละมัยอย่างรุนแรง
คู่หมั้นของสัตวแพทย์หญิงได้ตบหน้านายละมัยจนหน้าหัน
ตำรวจจึงต้องเข้าห้ามปรามและกันไว้ เมื่อนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
ก็จะโดนชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ ตำรวจต้องกันไว้อย่างเต็มที่
ก่อนจะนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินให้ประหารชีวิตน.ช.ละมัย
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๖
น.ช.ละมัยทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาได้ถูกยกไป ไม่ผ่าน
วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๗ ได้ทำการประหารชีวิตน.ช.ละมัย โพธิ์สุวรรณ เมื่อเวลา
๑๗.๒๓ น. นายประถม เครือเพ่ง เพชฌฆาตผู้ทำหน้าที่ประหารชีวิต
ก่อนทำการประหาร น.ช.ละมัย ขอปัสสาวะเป็นครั้งสุดท้าย
เนื่องจากกลัวตายมากจนกลั้นไม่อยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็อนุญาตและพาไปปัสสาวะ
เสร็จแล้วจึงนำตัวเข้าหลักประหาร
ขอบคุณที่มา เพจแฟนคลับ ยุทธ บางขวาง