#ปริญญา ชี้ ถ้าพรรคใหญ่ไม่เอาด้วย พลเอกประยุทธ์ก็เป็นได้แค่นายกฯ บริหารประเทศลำบาก

ปริญญา ชี้ ถ้าพรรคใหญ่ไม่เอาด้วย พลเอกประยุทธ์ก็เป็นได้แค่นายกฯ บริหารประเทศลำบาก

เมื่อวันที่ 6 มกราคม ตรงประเด็น – นายปริญญา เทวานฤมิตกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 53 / 2560 ซึ่งกำหนดให้รีเซ็ตสมาชิกพรรคการเมืองจะทำให้สังคมเกิดคำถามตามมาหลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ออกมาประกาศว่าเป็นนักการเมือง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลคสช.เพราะเปรียบเสมือนมีส่วนได้เสีย ออกคำสั่งเพื่อตัวเองหรือไม่ ขณะเดียวกันนัยยะของการออกมาประกาศตัวเป็นนักการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์นั้น ส่วนตัวเห็นว่า

พล.อ.ประยุทธ์ต้องการ ลบภาพของทหารที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่คงแยกลำบากเพราะตราบใดที่ยังสวมหมวกของหัวหน้า คสช.ก็เท่ากับว่ายังเป็นทหาร สำหรับเส้นทางการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์หากตัดสินใจเล่นการเมืองจริง จะมาได้สองแนวทางคือเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง จากนั้นให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นหนึ่งในสามของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งแนวทางนี้จะชัดเจนหลังจากวันที่ 30 เมษายนนี้

นายปริญญา กล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางที่สองคือการเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ว่าหากการเลือกนายกรัฐมนตรีจากรายชื่อของพรรคการเมืองครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จให้สามารถเสนอชื่อคนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้แต่การจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ในสภานั้น แม้จะมีเสียงส.ว.จำนวน 250 คนให้การสนับสนุนแล้ว แต่หากมีเสียงส.ส.สนับสนุน ไม่ถึง 250 คน ก็ถือว่าลำบาก เพราะการเสนอกฎหมายต่างๆ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมไปถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจะต้องใช้เสียงส.ส.ทั้งสิ้น ดังนั้นหากไม่สามารถดึงพรรคใหญ่พรรคใดพรรคหนึ่งมาร่วมรัฐบาลได้ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นได้แค่

นายกรัฐมนตรี แต่ไม่สามาถบริหารประเทศได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่สองพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์จะจับมือกันหากพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ หรือหาก คสช.จะอยู่บริหารประเทศต่อไป ส่วนกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าจะไม่มีการปฏิวัตินั้น ทุกครั้งหลังมีการปฏิวัติก็มักจะมีการออกมาพูดเช่นนี้ แต่ตามหลักความจริง การปฏิวัติก็ไม่ควรเกิดขึ้นอีก

สำนักข่าววิหคนิวส์