วันที่ 27 ม.ค.65 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯคนที่2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้มีการพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจาของ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ถามนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เรื่อง การปลดชื่อกัญชา กัญชง พ้นยาเสพติด ว่า ตนขอถาม 1.เหตุผลของการปลดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และจะมั่นใจได้อย่างไรว่า จะไม่ถูกจำกุมดำเนินคดี เช่นที่ผ่านมา และประชาชนที่จะปลูก ผลิตสินค้าที่มีส่วนผสมของกัญชา กัญชง จะสามารถทำได้หรือไม่ จะต้องปฏิบัติอย่างไร เมื่อกัญชา กัญชง ไม่ใช่ยาเสพติดแล้ว 2.การมีเงื่อนไข ให้ประกาศกำหนดชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ฉบับนี้ จะมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศแล้ว 120 วัน เหตุใดจึงต้องมีเงื่อนไขดังกล่าว จะสามารถให้มีผลบังคับใช้ให้เร็วขึ้นได้หรือไม่ หรือจะมีเหตุใดที่ทำให้มีการขยายเวลาออกไปหรือไม่ 3. ข้อมูลทางวิชาการระบุว่า กัญชา กัญชง มีประโยชน์มาก แต่ก็มีส่วนที่เป็นโทษเช่นเดียวกัน รัฐบาลมีมาตรการที่จะควบคุมการใช้กัญชาในทางที่เป็นโทษต่อประชาชน และเยาวชน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเป็นปัญหาสังคม และมีมาตรการการป้องกันการลักลอบนำเข้า-ส่งออก กัญชา กัญชง ที่มีการนำเข้าไปใช้ในทางที่เป็นโทษอย่างไร ตามที่นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐบางหน่วย เช่น ป.ป.ส. มีความห่วงใย อย่างไรบ้าง
โดยนายอนุทิน ชี้แจงว่า มีความจำเป็นที่ต้องปลดชื่อของกัญชา และกัญชงออกจากความเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เราทำไปเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ที่สำคัญ นี่คือนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ปรากฏในข้อ 4 จากทั้งหมด 12 ข้อ กำหนดให้ต้องมีการช่วยเหลือเกษตรกร เสริมสร้างนวัตรกรรม ส่งเสริมภูมิปัญญาชาวบ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน ในการสร้างนวัตรกรรมเกษตรแปรรูป รวมทั้งเร่งศึกษาวิจัย ทั้งกัญชา กัญชง และพืชสมุนไพร ในทางการแพทย์ และการอุตสาหกรรม รวมไปถึงต่อยอดในผลิตภัณฑ์อื่น เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ เป็นช่องทางการสร้างรายได้แก่ประชาชน แต่ต้องมีการเข้าไปควบคุมดูแล เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสังคม ตามนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ ในเรื่องของการปฏิบัติ เราต้องหาความชัดเจนเนื่องจากปัจจุบันมีการตีความเป็น 2 ทาง ทางที่หนึ่งเชื่อว่า กัญชาไม่ใช่ยาเสพติด เนื่องจากประมวลกฎหมายยาเสพติดปี 2564 มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งกฎหมายดังกล่าว ไม่ได้ระบุให้กัญชาเป็นยาเสพติดอีกต่อไป แต่อีกด้านหนึ่ง ตีความว่ากัญชาเป็นยาเสพติด โดยไปยกเอากฎหมายอื่นๆ มาเทียบเคียง การตีความยังเกิดขึ้น แม้ บอร์ด ป.ป.ส.จะมีมติเห็นชอบปลดชื่อกัญชา กัญชง พ้นยาเสพติดก็ตาม ดังนั้น จำเป็นต้องปิดช่องการตีความนี้ ไปจนถึงการหามาตรการมาควบคุมการใช้ ด้วยการเสนอ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ออกมา และได้ยื่นต่อสภาฯเมื่อวันที่ 26ม.ค.ที่ผ่านมา
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตามหลักการ ในเรื่องของประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.64 ที่ผ่านมา เท่ากับได้ยกเลิกประมวลฯ ปี 22 ไปแล้ว รวมถึงฉบับแก้ไขด้วยเช่นกัน เพื่อให้มีการนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ทั้งแผนไทย และแผนปัจจุบัน ไปจนถึงการส่งเสริมเพื่อใช้ดูแลสุขภาพตนเอง ไปจนถึงการสร้างรายได้ และคุ้มครองประชาชน ผู้ป่วย ให้มีความปลอดภัย อันจะส่งผลให้เกิดการลดความแออัดในสถานพยาบาล แก้ไขปัญหาการใช้กัญชาใต้ดิน และลดการพึ่งพาการนำเข้ากัญชาจากต่างประเทศ ไปจนถึงการเปิดโอกาสให้สามารถศึกษาวิจัย หาทางใช้ประโยชน์กัญชา กัญชง อย่างกว้างขวาง ประเทศไทย มีการตื่นตัว ในการใช้ประโยชน์จากกัญชา และกัญชง เป็นอย่างยิ่ง มีเม็ดเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาท มีการขออนุญาตใช้ในผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร และเป็นโอกาสใหม่ๆ สำหรับผู้บริโภค ทั้งนี้ การดำเนินการ เราตั้งอยู่บนความระมัดระวัง เราใช้เวลาประมาณ 2 ปีเศษ ในการนำกัญชาออกมาจากการเป็นยาเสพติด และกำลังออกกฎหมายมาควบคุมการใช้ ผ่าน พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ให้ สภาแห่งนี้ได้ร่วมกันพิจารณา สร้างประโยชน์ ให้กับ ประชาชนต่อไป
นายอนุทิน กล่าวว่า การมีเงื่อนไข ให้ประกาศกำหนดชื่อยาเสพติด มีผลบังคับใช้ใน 120 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพราะเราต้องการสร้างกลไกควบคุมการใช้กัญชา กัญชง และเพื่อไม่ให้มีการตีความทางกฎหมาย เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ ไปจนถึงการจับกุม ที่สร้างความสับสนอีกต่อไป รายละเอียดทั้งหมด จะอยู่ใน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่จะกำหนดให้ กัญชา กัญชง เป็นพืชสมุนไพร เป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ เพือเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ มี สาระสำคัญ คือ ให้เป็นพืชเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ให้ใช้ปลูกเพื่อรักษาตนเอง ต้องมีมาตรการกำกับดูแล การจดแจ้ง การอนุญาต ต้องมีการกำกับใช้ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี การใช้ต้องเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และสอดคล้องกับข้อตกลงนานาชาติ มีกฎหมายเพื่อควบคุมการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ยา อาหาร เครื่องสำอาง
นายอนุทิน กล่าวว่า นายยืนยง โอภากุล หรือ “แอ๊ด คาราบาว” ได้แต่งเพลงเอาไว้และสามารถเข้าใจการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ ช่วงหนึ่งในเนื้อบอกว่า ทั้งต้น ใบ ดอก กัญชา นำมาทำเป็นยาสมุนไพร ปรุงรส แกงเนื้อ แกงไก่ แทนผงชูรส เจริญอาหาร หากมีโรคภัยไข้เจ็บใช้กัญชารักษาจนหายขาด ไทยแลนด์ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นชาติ ที่ใช้กัญชาอย่างเข้าใจ สายเหนียวต้อง “หนู กันภัย” สายอนามัยต้อง “หนู กัญชา” จะเห็นว่ากัญชา มีประโยชน์ในทุกมิติทั้งเศรษฐกิจและการแพทย์ สามารถปลูกใช้ได้ในครัวเรือน ตนจะทำให้กัญชา กัญชง เกิดประโยชน์กับคนไทยจะไม่ปล่อยให้เอามาใช้ในทางทำให้เกิดโทษเราจะทำให้กัญชาเป็นทางเลือกด้านการแพทย์และเศรษฐกิจสำหรับคนไทย