2 ก้าวไกลประกาศกร้าวขอสวนมติพรรค ไม่ร่วมลงชื่อแก้ ม.112 ลั่นเป็นเสรีภาพ มาบังคับไม่ได้ ไม่ใช่ลูกน้องปิยบุตร “คารม” ยันเซ็นชื่อรับเครื่องราชฯ จริง รู้สึกยินดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้าน “ปิยบุตร” พล่าม ส.ส.ต้องเป็นผู้แทนของราษฎร มิใช่พนักงานของรัฐ ถ้า ส.ส.ไม่ขยับเลย จะตอบเยาวชนประชาชนอนาคตของประเทศได้อย่างไร ย้ำต้องเลิก ม.112
วันที่ 28 มกราคม 2564 ภายหลังพรรคก้าวไกลล่ารายชื่อ ส.ส. เพื่อขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ปรากฏว่ามี ส.ส. 2 คนไม่ขอร่วมลงชื่อ คนแรกคือ นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล เขาได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงว่า “บางจุดยืนของพรรค ไม่ใช่จุดยืนของผม” ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค ต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ที่กระผมต้องทำการขออนุญาตใช้เอกสิทธิ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้รับมาจากการที่พี่น้องประชาชนชาวศรีราชาได้เลือกกระผมในฐานะตัวแทนผู้สมัครรับเลือกในนามพรรคอนาคตใหม่
กระผมขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค (หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค) ซึ่งกระผมยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา และพร้อมน้อมรับคำวิจารณ์จากพี่น้องประชาชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกท่าน กระผมไม่สามารถลงชื่อญัตตินี้ซึ่งเป็นมติพรรคได้ เพราะขัดกับหลักการส่วนตัว
พรรคอนาคตใหม่หรือก้าวไกลเป็นพรรคที่ดีและมีอุดมการณ์ ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ส่วนตัวผมทำงานในพื้นที่ควบคู่กันไป ผมมีความต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ห่วงใยปากท้องชาวบ้าน จึงอาจไม่มีบทบาทมากนักในสภา
สุดท้ายนี้ กระผมไม่เคยลืมตัว และยังสำนึกในพระคุณของพรรค รวมถึงพี่น้องประชาชน ที่ได้ให้โอกาสกระผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ครับ
อีกรายคือ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ว่า “บอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ผมเป็นตัวของตัวเอง อายุเยอะแล้ว ผมรู้ว่าสถาบันบางสถาบัน ท่านก็ Disrupt อยู่ พัฒนาการทางการเมืองของน้องๆ เป็นสิทธิเสรีภาพ ใครทำอะไรก็ทำไป แต่ใครทำอะไรต้องรับผิดชอบ การเมืองก็เหมือนอาหาร ใครชอบกินอะไรก็กินไป จะมาบอกว่าอยู่บริษัทเดียวกันแล้วชอบเหมือนกันไม่ได้” นายคารมกล่าว
เมื่อถามว่า ในขณะที่มี ส.ส.ก้าวไกลลงชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่เวลาเดียวกันก็กำลังเสนอชื่อแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 นายคารมตอบว่า “ผมไม่เซ็นครับ บอกผ่านสื่อเลยครับผมไม่เซ็น ไม่ทราบคนอื่นเซ็นหรือไม่ แต่ผมไม่เซ็น แล้วมาบังคับผมไม่ได้ด้วย ผมเคยงดออกเสียงในเรื่องกฎหมายโอนอัตรากำลังพล แต่เมื่อพรรคมีมติผมก็มีมารยาท ผมรู้กติกา ผมรู้ระดับของความรุนแรง ผมจะตอบคำถามอย่างไร ผมมาสาบานตน ผมอ่านรัฐธรรมนูญผมก็เข้าใจ แล้วผมมาเซ็นแก้มาตรา 112 ความคิดในทางกฎหมายผมก็มีความรู้อยู่บ้างว่ามุมมองอะไรอย่างไร แต่สรุปว่าผมไม่เซ็น”
นายคารมยังยอมรับผ่านรายการ “เนชั่นทันข่าวเช้า” ว่าตนได้เซ็นชื่อรับเครื่องราชฯ จริง รู้สึกยินดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณโดยการที่ได้รับเครื่องราชฯ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้รับ ซึ่งได้เท่ากับ ส.ส.ท่านอื่น
ส่วนกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยที่ ส.ส.ในพรรคก้าวไกลเซ็นชื่อรับเครื่องราชฯ นายคารม บอกว่า ตนไม่ใช่ลูกน้องนายปิยบุตร การเซ็นรับเครื่องราชฯ ก็ถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล และขณะนี้ภายในพรรคก็ไม่มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าว ตนเป็น ส.ส. มีความสุขและเต็มใจที่จะทำงานในสภา และยังไม่เคยผิดพลาด เพราะตนเคารพกรอบทุกอย่าง ซึ่งที่ผ่านได้ดูแลตัวเองมาตลอดในแง่ของกฎหมาย ไม่เคยใช้ทีมกฎหมายพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกล
“ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว และจะไม่ร่วมเซ็นชื่อ ยินดีและพร้อมหากถูกขับออกจากพรรค” นายคารมกล่าว
ขณะที่นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันกับ 2 ส.ส. เพราะ 1 ใน 2 ส.ส. ก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับทางพรรค อาจจะฟังถ้อยคำบางอย่างไม่ครบถ้วน ซึ่งเราไม่ได้ยกเลิกมาตรา 112 แต่ในเรื่องนี้คงจะนำไปพูดคุยร่วมกันอีกครั้ง
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า แสดงความไม่พอใจ ส.ส.พรรคก้าวไกลอย่างมาก เขาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ส.ส.ต้องเป็นผู้แทนของราษฎร มิใช่พนักงานของรัฐ สถาบันการเมือง พรรคการเมือง ส.ส. ส.ว. ที่มีอำนาจอยู่ ต้องมีความรับผิดชอบในการนำประเด็นไปทำต่อ จะช้าเร็ว-มากน้อย ก็ว่ากัน แต่ต้องไปขยับ
อย่างน้อยที่สุด คือถ้าคุณเห็นว่าคนมาชุมนุม เขาเสียสละโดนคดีกันมาก ติดคุกทั้งชีวิต นับห้วงชีวิตอายุของคนคนหนึ่งอาจจะติดคุกยังไม่พอกับจำนวนคดีที่โดน อย่างน้อยๆ 3 ประเด็นข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในปี 2563 ก็ต้องขยับไปในแนวทางนี้
ถ้า ส.ส.ไม่ขยับเลย จะตอบเยาวชนประชาชน-อนาคตของประเทศ จะเป็นความหวังให้เขาได้อย่างไร ในขณะที่คนจำนวนมากไปเรียกร้อง แต่ถ้าวันหนึ่งเขาสิ้นหวังกับพรรคการเมือง นักการเมือง ผู้แทนราษฎร คราวนี้ระบบการเมืองจะปั่นป่วนโกลาหล
ทุกๆ วินาทีที่อยู่ในสภา ทุกจังหวะโอกาสที่มี ควรจะต้องขับเคลื่อนได้มากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่สำเร็จ แต่คือเมล็ดพันธุ์ ขอให้ได้ขยับ ภารกิจสำคัญของผู้แทนราษฎรคือเรื่องแบบนี้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือผู้แทนของราษฎร ผู้ที่ได้เป็น ส.ส. ไม่ควรคิดว่า ส.ส.เป็นอาชีพ เมื่อเป็นแล้วก็ติดใจหลงใหลต้องเป็นอีก จนทำให้ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลยเพื่อราษฎร เพราะเกรงว่าจะถูกกลไกรัฐเข้าทำลายจนตนเองต้องถูกขับออกจากการเมือง
ถ้า ส.ส.คิดว่า ส.ส.เป็นอาชีพ ต้องเป็นต่อไปเรื่อยๆ เขาจะขาดความเป็นอิสระ ขาดความกล้าหาญ และสยบยอมต่อกลไกรัฐ ไม่กล้าท้าทายปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆ ในท้ายที่สุด ส.ส.ก็จะกลายเป็นพนักงานของรัฐไป หาก ส.ส.ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพและอำนาจประชาชน กฎหมายที่แปลงประชาชน ผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ให้กลายเป็นไพร่ แล้ว ส.ส.ก็เป็นเพียงคนที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจของตนเท่านั้น
เมื่อ ส.ส.ถูกทำให้เป็นพนักงานของรัฐ ไม่ใช่ผู้แทนประชาชน แล้ว กลไกรัฐที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยก็ได้ครอบงำเบ็ดเสร็จเมื่อสถาบันทางการเมืองที่ถืออำนาจรัฐไม่อาจสนองตอบความต้องการประชาชนได้ เมื่อนั้น ประชาชนจักปรากฏกายขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงกันเอง ยกเลิก ม.112
นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดทำร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำร่าง ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และในพรรคเองก็ยังคงถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่ เรื่องนี้ต้องเป็นประโยชน์กับประชาชนและไม่กระทบกระเทือนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เราตั้งใจว่าจะต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น
เขากล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา มีการใช้กฎหมายมาตราดังกล่าวเป็นเครื่องมือ ดังนั้น เราจึงต้องการไม่ให้ใครใช้มาตรานี้เป็นเครื่องมืออีก ไม่ใช่ว่าจะให้ใครก็ได้แจ้งความดำเนินคดี เราต้องดูว่าใครเป็นผู้ที่เหมาะสม หรือแม้แต่บทกำหนดโทษ ช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ร.ศ.128 ขณะนั้นโทษไม่เกิน 3 ปี แล้วเปลี่ยนมาเป็น 7 ปี จากนั้น 6 ตุลา 19 เปลี่ยนมาเป็น 3-15 ปี ซึ่งต้องดูว่าแบบไหนเหมาะสม ประเทศต่างๆ ในโลก บางประเทศโทษน้อย บางประเทศไม่มีแล้ว บางประเทศก็ให้การหมิ่นประมาทประมุขของรัฐเป็นคดีทั่วไป ฉะนั้น เราจึงต้องศึกษาในเรื่องเหล่านี้เพื่อปรับให้บ้านเมืองเราเป็นสากล และยังคงรักษาไว้ซึ่งความเป็นประมุขของรัฐ ที่สำคัญต้องทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันสูงสุดของประเทศ และมั่นคงถาวรคู่แผ่นดินไทย นอกจากนี้ ก็กำลังพิจารณาเรื่องดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย จะจัดลำดับอย่างไร
“เราดูละเอียดมาก มีเป็นร่างแล้ว แต่ยังไม่สะเด็ดน้ำ เพราะในพรรคยังคงถกเถียงกันมาก คืบหน้าประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ เราต้องทำให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ถึงจะเสนอออกมาได้ หลายฝ่ายต้องรับได้และสบายใจ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์สำคัญ ทั้งนี้ สัปดาห์หน้าถึงจะมีการนำเรื่องนี้พูดคุยในที่ประชุมของพรรคอีก อย่างไรก็ตาม สำหรับการขอชื่อเพื่อเสนอร่างแก้ไขใช้เสียงของ ส.ส.เพียง 20 คน คิดว่าไม่น่ามีปัญหาในการลงชื่อ” นายธีรัจชัย ระบุ.