เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 20 มิ.ย. 2565 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า พร้อมนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พิชัย มีอัฐมั่น รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ดุสิต ตามหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ในความผิดตามมาตรา 112 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามที่นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์เข้าแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2564
นายปิยบุตร ได้เดินทางมาด้วยรถตู้สีขาว ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ต โดยมีประชาชนนำดอกกุหลาบมามอบให้พร้อมกล่าวทักทาย ก่อนเดินข้ามถนนยังสน.ดุสิต ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำรั้วมากั้นที่เชิงสะพานพร้อมห้ามผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจวัดอุณหภูมินายปิยบุตรและผู้ติดตามทุกคน ก่อนเดินขึ้นไปบนห้องประชุมชั้น 3
กระทั่งเวลา 13.00 น. นายปิยบุตร ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังเข้าพบพนักงานสอบสวนว่า ตนยืนยันว่าข้อความที่คุณเทพมนตรีกล่าวโทษไว้ทั้ง 8 ข้อความ อ่านหมดแล้วไม่มีข้อความไหนเข้าองค์ความผิด แต่ทางตำรวจมีความเห็นตั้งข้อกล่าวหาและสั่งฟ้องเพียง 1 ข้อความ ซึ่งตนคิดว่าวิญญูชนคนมีเหตุมีผล มีอัตตวินิจฉัย สติสัมปชัญญะ อ่านข้อความอีกครั้ง พินิจพิเคราะห์ได้ว่าไม่เข้าข่ายองค์ความผิด ตรงไหนก็ไม่เข้า สักคำหนึ่งก็ไม่เข้า ก็เดี๋ยวต่อสู้คดีกันไป
“คดีที่ผมโดนไม่ใช่ตัวผมคนเดียว แต่เป็นภาพใหญ่การใช้สิทธิเสรีภาพ ทุกท่านยอมรับกันแล้วว่ายุคสมัยปัจจุบันมีความคิดและการแสดงออกของเยาวชนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันจำนวนมาก มีความเห็นว่าเพื่อให้อยู่อย่างปกติสุข ควรมีการพูดคุยในพื้นที่ที่ปลอดภัย ยืนยันว่าเรื่องเหล่านี้พูดคุยกันได้ในรูปแบบวิชาการ เอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่การแสดงออกของผมกลับถูกดำเนินคดี
หากในท้ายที่สุดสังคมเห็นว่าการแสดงความเห็นทางวิชาการนี้ยังโดนคดี ก็จะไม่เห็นพื้นที่พูดคุยในที่สาธารณะได้เลย สำหรับคนกล่าวโทษก็ไม่เป็นไร ผมไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน อยากเรียนฝากนักร้องให้พิจารณาเรื่องข้อกฎหมายบ้าง นี่คือการเอาผิดในทางคดีอาญา ไม่ใช่เอาจินตนาการความรู้สึกนึกคิดเอาเอง ไปแจ้งความคนเพื่อปิดปากไม่ให้เขาพูด โตๆ กันแล้วควรคิดได้
และผมไม่เคยคิดจะดำเนินคดี คุณเทพมนตรี คนจะรักต้องพูดคุยกัน ไม่ใช่เอากฎหมายไปหมิ่นประมาท เรามีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งข้อเสนอของผมไม่ใช่เพิ่งมาพูด แต่พูดมา 10 กว่าปี ข้อความและเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกันมาตลอด แต่กลายเป็นว่าพอเข้าสู่แวดวงการเมืองก็ยังเอาเรื่องนี้มากล่าวหาดำเนินคดีอีก ยืนยันว่าความคิดเห็นของผมที่ดำเนินไปอย่างสุจริตใจ จะดำเนินต่อไป ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผม แต่เพื่อประโยชน์ของสังคมไทย” นายปิยบุตรกล่าว
ขณะที่นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า ถ้อยคำที่มาแจ้งความมีหลายถ้อยคำทั้งในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก พงส.เห็นว่ามีข้อความผิดอยู่คือในทวิตเตอร์ 24 ต.ค. 64 โดยทางนายปิยบุตรให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด และขอเวลาให้ถ้อยคำโต้แย้งต่อสู้คดี ภายใน 30 วันนับจากวันนี้ โดยไม่มีการควบคุมตัวแต่อย่างใด เนื่องจากผู้ต้องหามาพบด้วยเอง ตลอดจนไม่มีการออกหมายจับหรือหมายขังไว้
ซึ่งข้อสังเกตทนาย วันนี้เรามาพบพนักงานสอบสวนตามนัด ในชั้นนี้ก็ไม่ได้ควบคุมตัวเนื่องจากไม่มีอำนาจควบคุมตัว แต่ทาง รอง ผบช.น. ให้ความเห็นว่าน่าจะจัดเงื่อนไขไว้ให้ผู้ต้องหามารายงานตัวทุก 7 วัน ซึ่งจะเป็นภาระขึ้นและเป็นเรื่องผิดปกติอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากไม่ได้เป็นจำเลยหรือหมายศาล
แต่เพื่อไม่ให้พนักงานสอบสวนต้องลำบากใจ มาร่วมมือกัน ก็จะมา ไม่ได้ทำให้เราเพิ่มความหนักใจ เพราะเท่าที่เราพูดคุยก็ได้ถามว่ามีแรงกดดันใดๆ หรือไม่ หรือมีใบสั่งหรือเปล่า ทางรองผู้การ น.1 บอกว่าไม่ต้องกังวลใจ ท่านจะให้ความเป็นธรรม โดยให้นำพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีได้เต็มที่
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ดุสิตของนายปิยะบุตร ในวันนี้นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล สส.พรรคก้าวไกลและกลุ่มผู้สนับสนุน ได้ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อร่วมรณรงค์ยกเลิก ม.112และปลดล็อกท้องถิ่นด้วย