ดร.สุกิจ พูลศรีเกษม ผู้เชี่ยวชาญ ด้านกฎหมายได้โพสข้อความระบุว่า
อัยการสั่งไม่ฟ้อง นอกเหนือจากพยานหลักฐานในสำนวนย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อกฏหมาย
……………………\\\\\\\…………………;
ศึกษา กรณี นายบอส อยู่วิทยา โดย ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม
สภาพปัญหา คดี “นายบอส อยู่วิทยา ” ที่เป็นข่าวทางสื่อโชลเชียล ได้แสดงความคิดเห็นต่างไม่เห็นด้วยกับที่อัยการสูงสุด สั้งไม่ฟ้อง และตำรวจไม่มีความเห็นแย้ง
มีทั้งผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ(อตีดเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา)มีนักการเมืองที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอำนาจรัฐ และนักวิชาการต่างๆออกมาแสดงความคิดเห็น ว่า “คุกนั้นมีไว้ขังคนจน” คนรวยไม่ติดคุก “นั้น ยอมมีผลกระทบต่อขบวนการยุติธรรม
ยิ่งไปกว่านั้น ยังนักการเมืองวุฒิสภาคนหนึ่ง “ออกมาให้ข่าวสื่อมวลชนว่า “อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล” กรรมธิการฝ่ายกฏหมาย”เรียกทั้งอัยการและตำรวจมาชี้แจง และทนายสงกาญ์ ต่างออกมาวิภาควิจารย์ ว่ามีความผิดปกติ
ย่อมมีผลกระทบและสร้างความเชื่อมั่นของกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น ในชั้นตำรวจและอัยการ สร้างความเสทือนใจแก่ครอบครัวอยู่วิทยา และธุรกิจน้ำดืมชูกำลัง “กระทิงแดง”
แต่ด้วยเหตุรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร์ไทย ได้รับรองความบริสุทธิของ “นายบอส” ไว้ว่า ตราบใดศาลยังไม่มึคำพิพากษาถึงที่สุด แสดง ว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิมิได้” …
“ผิดถูกยังไม่ต้องพูดถึง” ถือว่า ตำรวจได้ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ผู้ตายชึ่งเป็นผู้ใต้บังคับชาได้รับค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่ง เพื่อมนุษย์ธรรม ทาง”นายบอส”ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในเบื้องต้นได้จ่ายต่าทดแทนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสียชีวิตลง ตามฐานนานุรูป เพื่อเป็นการบรรเทาผลร้าย อันนี้เป็นผลงานตำรวจว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ตายฟรี
ถึงแม้”นายบอส”จะบรรเทาผลร้ายไปแล้ว ตำรวจยังได้ทำไปตามพยานหลักฐานด้วยการสั่งฟ้องบางข้อหา ไปยังพนักงานอัยการ
พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม” … ฯลฯ โดยอัยการจะเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองสำนวนการสอบสวนจากตำรวจ … ของ ป.วิ.อาญา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน ด้วยการสั่งฟ้องในเบื้องต้นบางข้อหาเช่นเดียวกับตำรวจ
แต่ด้วยเหตุที่ ทนาย”นายบอส” เห็นว่า ลูกรวามไม่ได้รับเป็นธรรม จึงร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ตามระเบียบอัยการก็ต้องให้ความเป็นธรรมตามที่มีผู้ร้องขอ การที่จะกลับคำสั่งอัยการเจ้าของสำนวนได้นั้น ต้องเป็น”อัยการระดับอธิบดี”
หลังจากนั้นก็ส่งให้กองคดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลั่นกรองอีกครั้ง หนึ่ง และทราบว่าทางกองคดีตำรวจมี”ความเห็นแย้งบางข้อหา ”
เรื่องจึงมาถึงสำนักงาน อัยการสูงสุดเพื่อพิจารณากลั่นกรองครั้งสุดท้าย ถ้า เห็นว่า พยานหลักฐานไม่พอฟ้องก็ต้องปล่อยตัวไปด้วยการ”สั่งไม่ฟ้อง ” ตามพยานหลักฐาน
คดีมีปัญหาที่ถกเถียงกันในสื่อออนไลน์ออกสู่สาธารณะชนด้วยการให้ข้อมูลว่า “ดูจากกล้องวงจรปิด”สามารถพิสูจน์ได้ว่า ความเร็ววิ่งเท่าไรนั้น และบางโชเชียลทำสูตรคำนวนว่ารถยนต์ ที่ “นายบอส” ใช้ความเร็วสูงเกินกว่ากฏหมายกำหนด ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานให้ความเห็นที่ดูจากกล้องวงจรปิด นั้น แท้จริงแล้วยังไม่มีกฏหมายรองรับความเป็นมาตราฐานสากล ลำพังแต่กล้องวงจรปิดนั้นจะรับฟังเป็นผู้ร้ายเสียเลยที่เดียวนั้นหาได้ไม
รับฟังได้เพียงว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามข้อต่อสู้ของทนาย”นายบอส” ร้องขอความเป็นธรรมหรือไมว่า”ผู้ตายเปลี่ยนช่องทางเดินเป็นเหตุสุดวิสัย “อันไม่อาจใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนทั่วไปพึงกระทำหรือไม
ในส่วนเรื่องความเร็วของรถนั้น หากทนาย”นายบอส” เห็นว่า จากประสบการการทำคดีมา ยังไม่เชื่อถือผู้เชียงชาญที่พิสูจน์ถึงความเร็วจากกล้องวงจรปิด ก็สามารถให้ตำรวจส่งพิสูจน์ใหม่ได้ หรือถ้าสำนวนถูกส่งไปยังอัยการแล้ว ก็สามารถร้องขอความเป็นธรรม ให้ส่งไปตรวจพิสูจน์ใหม่ได้อันนี้ มีแนวคำพิพากษาศาลฎีการองรับไว้ นอกจากนี้ยังมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ความเห็นของผู้เชียวชาญ”นั้นไม่จำเป็นทีศาลต้องเชื่อเสมอไป ชึ่งเป็นปัญหาข้อกฏหมาย
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องอาศัยพยานบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ยิ่งพยานเป็นผู้ขับรถมาในวันวันเกิดเหตุ ตามหลังรถ”นายบอส”นั้น ยิ่งน่าเชื่อถือกว่ากล้องวรจรปิด ยานพานะของพยานนั้น ใช้ความเร็วเท่าไร นำมาคำนวนกับความเร็ว”รถ”นายบอส” ที่ขับขี่ได้
อีกทั้งตาม พรบ.จราจรทางบก นั้นไม่ใช่แค่พิสูจน์กล้องวรจรปิดแล้วจะรับฟังได้ ยังมีเหตุอื่นที่จะต้องพิสูจน์ เช่น ต้องพิสูจน์ลอยเบรคของรถ”นายบอส”เป็นสารสำคัญ”สภาพลอยเบรคนั่นจะบ่งชี้ถึงความเร็ว ” และความเร็วนั้น ยังต้องรับฟังประกอบกับสภาพถนนในที่เกิดเหตุด้วยยิ่งสภาพถนนในสถานที่เกิดเหตุ “มีสองเลน “เป็นย่านชุมชน ย่อมมีเหตุสงสัย ว่า
หากรถ”นายบอส”ใช้ความเร็วสูง วัตถุพยานรถเก่งหรูอันนี้สามารถบ่งชี้ได้ว่าใช้ความเร็วเท่าไร “ภาษากฏหมายบอกว่า”สภาพวัตุของกลางมันฟ้อง”อยู่ในตัว แต่เมื่อพิจารณา ถึงสภาพรถตามภาพถ่าย และสภาพรถจักยานยนของผู้ตาย แล้ว ก็ไม่น่าใช้ความเร็วสูงได้ อันนี้เราต้องชมทนายของ”นายบอส”ว่า
ส่วนพยานจะมาให้การหลังจากเกิดเหตุก็ไม่ใช่เป็นข้อพิรุธ มีปัญหาว่าเห็นนริงหรือไม เป็นหน้าที่ตำรวจ หากไม่มีพิรุธก็ต้องเป็นพยานหลักฐานไม่มีเหตุที่ตำรวจจะให้การช่วยเหลือ “นายบอส”
ทั้งนี้มีผู้รับสมอ้างว่าเป็นผู้ขับขี่เพื่อทดแทนพระคุณบิดา”นายบอส” ตำรวจยังดำเนินคดี หากพยานบุคคลผู้เห็นเหตุการมีพิรุธนั้น ก็คงไม่พ้นมือสอบสวนอย่าง สน.ทองหล่อ”อย่างแน่แท้
คดีของ”นายบอส” จึงสิ้นสุดตามคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว อัยอัยการสูงสุดจะสั่งไม่ฟ้องนอกเหนือจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนไม่ได้ เป็นการฝ่าฝืนต่อกฏหมาย
ความเห็นผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ(อตีดเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา) นักการเมืองที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอำนาจรัฐ และนักวิชาการภาครัฐและเอกชน ท่านวุฒิสภา นั้น ได้พิพากษา “นายบอส” ไปเสร็จสิ้นด้วยสื่อสารออนไลน์ ไปแล้ว และอาจมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานปฎิบัติตามหน้าที่ได้ จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นอาจไปกระทบถึงบุคคลอื่นได้